บทที่ 7
การประเมินเพื่อปรับปรุงการสอน (Evaluation to Improve Teaching)
การประเมินเพื่อปรับปรุงการสอน (Evaluation to Improve Teaching)
การประเมินเพื่อปรับปรุงการสอน
(Evaluation to Improve
Teaching E :) การประเมินการเรียนรู้ ของตนเอง โดยกําหนดค่าคะแนนจากการวิเคราะห์การประเมินการเรียนรู้ด้านความรู้
(Cognitive Domain) ของบลูม (Bloom's
Taxonomy) การประเมินตามสภาพจริงและการประเมินจากแฟ้มสะสมงาน
เป็นการ ตรวจสอบการบรรลุจุดหมายการเรียนรู้
การประเมินเพื่อปรับปรุงการสอนมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้มีความรู้ความเข้าใจและทักษะ
ในการทบทวนตนเองหลังการสอน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งก่อนการเรียนการสอน
ระหว่างการสอน และหลังจาก สอนจบบทเรียนแล้ว
การจัดกระบวนการพัฒนาการสอนเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน Glickman
(2002) เสนอแนวคิดในการพัฒนาโดยใช้วิธีจัดองค์กรความรู้ด้านวิชาชีพ
ดังภาพประกอบที่ 6
องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
วงกลมชั้นที่ 1 องค์ประกอบที่มีผลโดยตรงต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
ซึ่งการเรียนรู้ของผู้เรียนที่อยู่ใจ ภาพ
เป็นจุดศูนย์รวมของกิจกรรมทุกอย่างในชั้นเรียนและในโรงเรียน
การเรียนรู้ของผู้เรียนได้รับ ทธิพลโดยตรงจากองค์ประกอบที่อยู่ในวงกลมชั้นที่
ประกอบด้วยหลักสูตร-เนื้อหาของสิ่งที่สอน วิธีการ -
ใช้และการวัดผล(แบบวินิจฉัย)การเรียนรู้ของผู้เรียน
Glickman
(1998) เสนอแนะว่า ให้ดูจุดศูนย์กลางของวงกลมต่างๆ
ที่มีจุดศูนย์กลางร่วมกัน ศูนย์กลาง รหมาย
วงกลมในสุดเป็นความพยายามของชั้นเรียนและโรงเรียนที่จะพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ให้
ขึ้นแก่ผู้เรียนทุกคน วงกลมชั้นที่ 1 การเรียนรู้ของผู้เรียนสัมพันธ์กันโดยตรงกับ
เนื้อหาที่นํามาสอน วิธีการสอน และกลวิธีที่นํามาใช้ในการประเมิน
วงกลมชั้นที่
2 องค์ประกอบซึ่งจัดระบบภาระงานของผู้นํา (การเรียนรู้) ที่ทําต่อครูผู้สอน
ซึ่งการ ปรับปรุงการสอนในชั้นเรียนประกอบด้วย จุดมุ่งเน้น
(ต้องใส่ใจในเรื่องใดบ้างในการปรับปรุงการสอน การ สังเกตชั้นเรียน และการใช้ข้อมูล
ผลสัมฤทธิ์ และการพิจารณาตัวอย่างชิ้นงานของผู้เรียน) แนวทางที่จะทํา ร่วมกับครู
และโครงสร้างและรูปแบบ เพื่อจัดระบบภาระงานการปรับปรุงการสอน
จากภาพวงกลมชั้นที่
2 จุดศูนย์กลางเดียวกันกับวงกลมแรกเพื่อพัฒนาคุณภาพการสอนในชั้นเรียน
มุ่งที่จุดเน้นที่ผู้สอนกําหนดให้เป็นเป้าหมายการเรียนรู้
ต่อมาพิจารณาแนวทาง-วิธีการดําเนินการระหว่าง บุคคล(วิธีการสั่งการและควบคุม
วิธีการสั่งการและให้ข้อมูลวิธีการแบบร่วมคิดร่วมทํา และวิธีไม่สั่งการ) ซึ่ง
จะใช้กับครูที่จัดการสอนในชั้นเรียนโดยตรง และโครงสร้างและรูปแบบของวิธีการต่าง ๆ
ได้แก่ การนิเทศ แบบคลินิก เพื่อแนะเพื่อน เพื่อผู้ติชม
และกลุ่มวิจัยเชิงปฏิบัติการตามตารางที่กําหนดพร้อมสิ่งอํานวยความสะดวก
วงกลมชั้นที่
3 องค์ประกอบซึ่งส่งเสริมให้การดําเนินงานครอบคลุมบริบทการปรับปรุงการสอน
ประกอบด้วย ลําดับความสําคัญในการปรับปรุงโรงเรียน
ที่ได้จากวิสัยทัศน์ของโรงเรียนและความจําเป็น เร่งด่วนในการพัฒนาโรงเรียน
แผนการพัฒนาวิชาชีพ ทรัพยากรและระยะเวลา และการประเมินผลวิธีการ
และสิ่งที่ผู้เรียนกําลังเรียนรู้อยู่
และวิธีการใช้ข้อมูลจากการประเมินเป็นแนวทางในการดําเนินงานจําเป็น
เร่งด่วนของโรงเรียนต่อไป
จากภาพวงกลมชั้นที่
3 อิทธิพลที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของ
กระบวนการปฏิรูปการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนทั้งหมดที่ดําเนินการอย่างต่อเนื่อง
ที่เป็นลําดับ ความสําคัญในการปรับปรุงโรงเรียน ถัดมาเป็นการพัฒนาด้านวิชาชีพครู
โดยใช้โรงเรียนเป็นฐานมุ่งไปที่ครู ทุกคน
และสุดท้ายการประเมินผลทั้งการประเมินระหว่างภาคเรียนและปลายภาคเรียน
เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ของผู้เรียนทั้งหมด
Glickinan,
Carl D (2002 นักแปลเครือข่ายของกรมวิชาการ 2546 :131)
สรุปคําถามนําเพื่อ
เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับภาพองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
ดังต่อไปนี้
1.
เป้าหมายของโรงเรียนคืออะไร จะบรรลุเป้าหมายของโรงเรียนได้อย่างไร
และใช้เป้าหมายนี้ อย่างไร (ช)
2.
แผนพัฒนาวิชาชีพครูที่สอดคล้องกับเป้าหมายของโรงเรียนคืออะไร แผนนี้เปิดโอกาสให้
บุคคลภายนอกตรวจสอบการสอนของผู้สอนและการเรียนของผู้เรียนได้อย่างไร (0)
3.ประเมินความก้าวหน้าทั้งหมดมุ่งสู่เป้าหมายการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งโรงเรียนได้อย่างไร
สอบ
4.
อะไรคือจุดมุ่งเน้นในการสอนและการเรียนรู้ที่ผู้สอนทุกคนต้องปฏิบัติ (9)
5.
จะใช้รูปแบบการนิเทศแบบใด (แบบคลินิก แบบเพื่อนแนะเพื่อน แบบกลุ่มวิจัย ฯลฯ) และ
เครื่องมือใด (การสังเกต ผลงานที่ได้รับมอบหมาย การปฏิบัติ แฟ้มผลงาน ฯลฯ) (ช)
6.
จะใช้วิธีการอะไรในการทํางานร่วมกับผู้อื่น (แบบไม่สั่งการ แบบร่วมคิดร่วมทํา
แบบสั่งการ และให้ข้อมูล แบบสั่งการและควบคุม) (2)
7.ผู้สอนแต่ละคนจะมีการปรับเปลี่ยนอะไร
ในการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน (ง) 8.
ผู้สอนแต่ละคนจะเปลี่ยนแปลงวิธีการสอนอย่างไร (ค)
9.
ผู้สอนแต่ละคนจะเปลี่ยนเนื้อหาที่สอนอย่างไร (ข)
การใช้คําถามนํานี้จะต้องคิดพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบอาจด้วยตนเองหรือร่วมกันในการ
วางแผน เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการสอน พัฒนาคุณภาพการเรียนรู้
ความเชี่ยวชาญในวิชาชีพ และการ พัฒนาการศึกษาให้สูงขึ้นเป็นที่น่าพึงพอใจ
Ghaye,
Anthony (1998) กล่าวสรุปไว้ว่า
การเรียนการสอนนั้นสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ด้วยการ ทบทวนตนเอง
กระบวนการทบทวนตนเองทําให้ครูเข้าใจการสอนของตัวเอง เข้าใจว่าอะไรสามารถทําได้
และอะไร ได้น้อย ช่วยให้ตัดสินใจอย่างฉลาด
และเข้าใจความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียนและใน โรงเรียนได้ กระบวนการในการทบทวนตนเองจะก้าวหน้าไปได้ต้องอาศัยกรอบโครงสร้างที่ดี
ความท้าทาย และแรงสนับสนุน
การทบทวนตนเองหลังการสอนไม่ได้เป็นเป็นเพียงการเรียนรู้จากประสบการณ์ของใคร
คนใดคนหนึ่งเป็นการส่วนตัวตามลําพัง
แต่เป็นการสร้างองค์ความรู้ที่มีศักยภาพที่จะช่วยให้ครูรู้แจ้งเห็นจริง
และมีความมั่นใจในการทํางาน การทบทวนตนเองเป็นกระบวนการที่สร้างสรรค์
สามารถช่วยให้ครูมี วิสัยทัศน์ มองเห็นภาพการเรียนการสอนที่ดี
และประคับประคองและทะนุบํารุงสถานภาพที่ดีเช่นนั้นไว้ได้
กระบวนการทบทวนตนเองจะต้องปฏิบัติอย่างสม่ําเสมอ การจะปฏิบัติให้ได้ประโยชน์สูงสุดจะต้องปฏิบัติ
อย่างสม่ําเสมอ
และการทบทวนตนเองหลังการสอนเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตั้งข้อสงสัยหรือทบทวนสิ่งที่ครู
และโรงเรียนปฏิบัติอยู่เป็นการถามถึงวิธีการและเป้าหมายของการศึกษา
Schon, (1983)
อธิบายว่า การใช้ความคิดพิจารณาระหว่างการเรียนการสอนเรียกว่า “การทบทวน ตนเองระหว่างการสอน” (reflection-in-action) ส่วนการคิดไตร่ตรองหลังการเรียนการสอน เรียกว่า “การ ทบทวนตนเองหลังการสอน” (reflection on practice) ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ได้จบลงแล้ว เมื่อครู
ได้มองย้อนหลังไปคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ศึกษาองค์ประกอบที่มีส่วนสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนเพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมการใช้ความสามารถและศักยภาพมีอยู่ในตนเองให้เกิดการเรียนรู้ให้มากที่สุด มีผู้กล่าวถึงองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดังนี้
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (อ้างถึงใน น้ำเพชร
สินทอง, 2541, หน้า 16) ได้กล่าวถึง องค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ว่าตั้งแต่เด็กเกิดมาและเจริญเติบโตในครอบครัวจนกระทั่งเข้าสู่วัยเรียน
ได้แก่ คุณลักษณะของนักเรียน คุณภาพการจัดการเรียนในโรงเรียน
ความสามารถติดตัวมาแต่กำเนิดและภูมิหลังของครอบครัว
สุภาพรรณ โคตรจรัส (อ้างถึงใน น้ำเพชร สินทอง, 2541, หน้า 16) กล่าวว่าองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้นแบ่งออกเป็น
2 ประเภท คือ
องค์ประกอบด้านคุณลักษณะเดียวกับตัวผู้เรียน ได้แก่ เชาวน์ปัญญาความถนัดความรู้พื้นฐานหรือความรู้เดิมของนักเรียน
และอารมณ์ เป็นแรงจูงใจความสนใจ
ทัศนคติและนิสัยในการเรียน ความนึกคิดเกี่ยวกับตนเอง
ตลอดจนการปรับตัวและบุคลิกภาพอื่น ๆ
องค์ประกอบทางสภาพแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมทางครอบครัว ฐานะทางเศรษฐกิจ ที่อยู่อาศัย ความคาดหวังของบิดามารดา
Prescott (อ้างถึงใน น้ำเพชร สินทอง, 2541, หน้า 16)
ได้กล่าวถึง องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
พอสรุปได้ดังนี้
องค์ประกอบทางร่างกายได้แก่
การเจริญเติบโตของร่างกาย สุขภาพข้อบกพร่อง และลักษณะท่าทางของร่างกาย
องค์ประกอบทางความรัก ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดา ความสัมพันธ์
ระหว่างบิดามารดากับบุตร ความสัมพันธ์ระหว่างบุตรและสมาชิกในครอบครัว
องค์ประกอบทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ขนบธรรมเนียมประเพณี
ความเป็นอยู่ของครอบครัว สภาพแวดล้อม
การอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครอง และฐานะทางเศรษฐกิจ
องค์ประกอบด้านความสัมพันธ์กับเพื่อน
ๆ ในวัยเดียวกัน
องค์ประกอบทางการพัฒนาแห่งตน ได้แก่ สติปัญญา ความสนใจ เจตคติและแรงจูงใจ
องค์ประกอบทางด้านการปรับตัว คือ
การปรับตัวและการแสดงอารมณ์
Gagne (อ้างถึงใน น้ำเพชร สินทอง, 2541, หน้า 17) ได้กล่าวว่า อิทธิพลที่มีผลต่อการเรียนรู้
ได้แก่ พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
ตามที่ยอมรับกันว่า สติปัญญาของคนได้รับการถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม
แต่ยังมีองค์ประกอบอย่างอื่นแทรกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น ประสบการณ์การเรียนรู้ ความสนใจ ตลอดจนสิ่งแวดล้อมที่เป็นบุคคลที่ได้รับจากการเรียนรู้
สังคมและเศรษฐกิจ
จากแนวคิดเกี่ยวกับผลการเรียนดังกล่าว จึงสรุปได้ว่า
องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กจะต้องประกอบด้วย
สติปัญญาของเด็ก
สิ่งแวดล้อมทางครอบครัวซึ่งหมายถึงการที่เด็กได้รับความรักเอาใจใส่จากครอบครัว
ทางสังคมได้แก่อยู่ในสังคมแห่งการเรียนรู้ไม่ใช่สังคมที่มีแต่ปัญหาไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติดหรือปัญหาครอบครัว
ตลอดจนกระบวนการเรียนการสอนในโรงเรียน
ซึ่งถ้าหากพ่อแม่และครูดูแลเอาใจใส่ให้เด็กเจริญเติบโตพัฒนาทางร่างกาย
จิตใจ และเสริมสติปัญญาที่ถูกทิศทาง
เด็กก็จะเจริญเติบโตพร้อมกับความสำเร็จในด้านการเรียน และในที่สุดก็จะกลายเป็นคนดีและรับผิดชอบในสังคมต่อไป
การทบทวนตนเองหลังการสอนที่มีคุณภาพ
การทบทวนตนเองหลังการสอนเป็นกระบวนการที่เหมาะกับการปฏิบัติงานในอาชีพ
เพราะเป็น กระบวนการที่ควรปฏิบัติ เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์
กระบวนการนี้มิใช่จะจําเป็นเฉพาะกับการสอนที่ดี เท่านั้น
แต่ยังเป็นความจําเป็นพื้นฐานสําหรับมนุษย์ด้วย บอเมสเตอร์(Baumeister, 1991) กล่าวว่า ชีวิตมี ความหมายเมื่อเราสนองความต้องการ 4
ประการเหล่านี้ได้แก่ 1) ด้านวัตถุประสงค์ 2) ด้านค่านิยม 3) ด้าน ประสิทธิผล และ
4) ด้านความพึงพอใจในตนเอง
การทบทวนตนเองหลังการสอนช่วยให้เราเข้าใจการเรียนการสอน คําว่า“การทําความเข้าใจ” Weick, (1995) กล่าวว่า
การทําความเข้าใจเป็นความคิดและกระบวนการที่ซับซ้อน
“ความเข้าใจ” ยังหมายถึง
การเพิ่มความระมัดระวังในการมีปฏิสัมพันธ์ในกลุ่มและในสภาวะ แวดล้อมที่เราสอน
ชั้นเรียนของเราเป็นสภาวะแวดล้อมของการเรียนการสอนที่พิเศษ เพราะเราสร้างสภาวะ
แวดล้อมขึ้นมาและเราก็สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้
แต่อย่างไรก็ตามสภาวะแวดล้อมที่มีผลกับวิธีการสอน ของเราด้วย เช่น
ในห้องเรียนขนาดเล็กและแออัดกิจกรรมที่ทําได้ก็จะเป็นเพียงประเภทที่ไม่ต้องใช้โต๊ะ
“ความเข้าใจ” มิได้เป็นเพียงกระบวนการสนทนากับตัวเองเกี่ยวกับเรื่องการสอนเท่านั้นแต่เกี่ยวข้อง
กับการได้ความรู้จากการสนทนากับเพื่อนครูด้วยกัน และเปลี่ยนประสบการณ์กันและกัน
กระบวนการนี้เป็น กระบวนการต่อเนื่องที่ต้องการความเป็นคนช่างสังเกต
ต้องสังเกตความเป็นไปในอาชีพถ้าเห็นว่ามีอะไร เกิดขึ้น
ต้องหาเหตุผลมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เช่น
ต้องสังเกตเห็นว่าเด็กคนไหนพูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา เด็กคนไหนจับดินสอไม่ถูกวิธี
คนไหนรักการอ่าน คนไหนเก่งทดลองวิทยาศาสตร์และคนไหนใช้เครื่อง บันทึกเทปได้เก่ง
รูปแบบการสะท้อนความคิดนี้
มีลักษณะเด่น 4 ประการ คือ เป็นวงจรมีความยืดหยุ่น มีประเด็นที่ เน้น
และมีลักษณะเป็นองค์รวม
1.
มีลักษณะเป็นวงจร การทบทวนตนเองและการปฏิบัติเป็นกระบวนการที่ดําเนินต่อเนื่องกัน
เป็นวงจร เมื่อกระบวนการเริ่มแล้วจะไม่มีการถอยหลังกลับไปสู่จุดเริ่มต้น
พูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ การ ทบทวนตนเองหลังการสอน
จะนําเราไปสู่วงจรใหม่ที่ปรับปรุงแล้วต่อไป
2.
มีความยืดหยุ่น รูปแบบที่จะนําใช้จําเป็นจะต้องมีความยืดหยุ่น
จะต้องไม่เป็นแบบที่มีลักษณะ เป็นขั้นตอน เหตุผลที่เป็นเช่นนี้มีอยู่ 2 ประการ คือ
ประการแรก
การทบทวนตนเองหลังการสอนมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกัน เช่น
ครูคนหนึ่งอาจจะเริ่มต้นเมื่อเกิดความรู้สึกคับข้องใจที่ไม่สามารถใช้วิธีการที่ตนเอง
ต้องการเพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนได้
เนื่องจากเพื่อนร่วมงานมีความเห็นที่ แตกต่างกันออกไป พวกเขาไม่เข้าใจว่าวิธีการนี้จะใช้ให้สัมฤทธิ์ผลได้อย่างไร
ครูอีกคนหนึ่งอาจคิดทบทวนสิ่งซึ่งเขาได้ทดลองใช้กับนักเรียนของเขา
(งานเขียนซึ่งครู และนักเรียนทําร่วมกัน) และคิดว่าเหตุใดจึงไม่ได้ผล
ครูอีกคนหนึ่งอาจเริ่มจากสิ่งที่เขาเชื่อว่าจําเป็นต้องใช้
(เขาต้องการเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนแต่ดู
เหมือนว่าจะไม่สามารถหามาได้
ครูอีกคนหนึ่งที่สอนอยู่ในโรงเรียนเล็ก ๆ
ในชนบทอาจต้องการสร้างความสัมพันธ์กับ โรงเรียนอื่น ๆ ในละแวกเดียวกัน
ตลอดจนกับธุรกิจต่าง ๆ หรือบริษัทห้างร้านในท้องถิ่นเพิ่มขึ้น จุดเริ่มต้นที่
แตกต่างกันมาจากค่านิยมของครูและวิธีการทํางานของครู ในการที่จะผลักดันสิ่งต่าง ๆ
ให้เกิดขึ้น และ มะแปรงสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้น
หรือค่านิยมเกี่ยวกับโรงเรียนในชุมชนที่กว้างขึ้น
ประการที่สอง
รูปแบบการทบทวนตนเองต้องมีความยืดหยุ่นเพื่อให้สอดคล้องกับวิธีการ เรียนรู้
การปรับปรุงการเรียนการสอนไม่จําเป็นต้องดําเนินไปในรูปแบบที่คงที่
และมีขั้นตอนเป็นลําดับ เช่น
ครูคนหนึ่งอาจเลือกที่จะทบทวนวิธีการสอนของเขาก่อน
สิ่งหนึ่งที่เขาอาจจะเรียนรู้จาก การทบทวนตนเองก็คือ เขาเปิดโอกาสให้เด็กได้คิดเองทําเองน้อยเกินไป
เขามักจะคอยชี้แนะควบคุม และ สอนหรือบอกเด็กตรงๆ
เมื่อรู้เช่นนี้เขาอาจลองทบทวนค่านิยมหรือความเชื่อของตนเอง (หากต้องการ
เปลี่ยนแปลงวิธีสอน)
แล้วหลังจากนั้นอาจจะทบทวนต่อไปว่าจะปรับปรุงการสอนและการเรียนรู้ของเด็ก
ครูคนอื่นอาจจะเริ่มที่การทบทวนถึงสภาวะแวดล้อมซึ่งก็คือ
โรงเรียนที่เขาสอน โรงเรียน อาจจะตั้งอยู่ในย่านยากจนชานเมือง
ความสัมพันธ์ระหว่างครูและผู้ปกครองอาจจะไม่ค่อยมี ในกรณีเช่นนี้
ควรจะต้องมีการพัฒนาความสัมพันธ์กับชุมชน และโรงเรียนจะต้องเพิ่มบทบาทของตนเอง
ต้องหาเงิน เพิ่มขึ้นเพื่อพัฒนาบุคลากร เป็นต้น
จากการทบทวนสภาวะแวดล้อมอาจจะตามมาด้วยการพิจารณาว่าสภาวะ
แวดล้อมมีผลกระทบต่อการสอนได้อย่างไรบ้าง
ซึ่งอาจจะย้อนไปสู่เรื่องค่านิยมของครูและโรงเรียนใน ภาพรวม ดังนั้นค่านิยม
การปฏิบัติ การปรับปรุงและสภาวะแวดล้อม จึงเป็นสิ่งสําคัญที่จะต้องทบทวน ส่วน
ลําดับขั้นตอนในการคิดนั้นแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล
3.
มีประเด็นที่เน้น การมีความยืดหยุ่น
มิได้หมายความว่าจะคิดวกวนอยู่กับปัญหาเกี่ยวกับการ
สอนหรือวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าวโดยหวังว่าครูจะพบทางออกเอง
การคิดจะต้องมีประเด็นที่เน้นและมี ทิศทางเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมาย
ในการนี้ควรใช้รูปที่ 1.1 เป็นแผนที่เพื่อช่วยชี้ทิศทางและจํากัด ความสนใจ
รูปแบบดังกล่าวจะช่วยให้เห็นทิศทางโดยรอบ และเห็นหนทางต่าง ๆ
ที่อยู่เบื้องหน้าช่วยให้เข้าใจ จุดสําคัญทางการศึกษาที่จําเป็นจะต้องสํารวจ รูปแบบนี้มีส่วนที่ควรจะพิจารณา
4 จุด คือ ค่านิยม การปฏิบัติ การปรับปรุงและสภาวะแวดล้อม
โดยครูจะเลือกพิจารณาจุดใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสนใจ แผนการพัฒนา อาชีพของตนเอง
และปัญหาต่างๆ
4.
มีลักษณะเป็นองค์รวม จากรูปนี้ เราจะมองเห็นการเรียนการสอนภาพรวม เห็นการเชื่อมโยง
ค่านิยมในวิชาชีพเข้ากับการปฏิบัติ
การเชื่อมโยงการสอนเข้ากับความตั้งใจของครูที่จะพัฒนาการเรียนรู้และ
พัฒนาอาชีพ
ทําให้ครูเห็นว่าไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปแบบนี้ทํางานอยู่ในสภาพหยุดการเปลี่ยนแปลง
แต่ เป็นการทํางานอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงและมักจะมีความไม่แน่นอนรวมอยู่ด้วย
การประเมินเพื่อปรับปรุงการสอน
การประเมินการเรียนรู้
จะต้องให้ข้อมูลย้อนกลับว่าการจัดการเรียนรู้บรรลุพันธกิจหรือไม่ มีดาว
จําเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง เพื่อการบรรลุเป้าหมายของโปรแกรมการศึกษา
การประเมินเพื่อพัฒนาประสิทธิผลในการจัดการเรียนรู้ เขียนเป็นแผนภาพได้ดังนี้
Ghaye, T (1995) เสนอแนวคิดการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาในโรงเรียน
จะต้องพิจารณาคําถาม 5 ข้อ คือ
1. คําถามเกี่ยวกับเวลา
การปรับปรุงควรจะเกิดขึ้นเมื่อไร
ผลของการปรับปรุงควรจะได้ผลอย่างชัดเจนเมื่อไร
2. คําถามเกี่ยวกับขนาดของงาน
ขอบเขตของการปรับปรุงควรมีขนาดเท่าไร เพียงใด
ผู้เกี่ยวข้องมีกี่คน จะต้องใช้ทรัพยากรอะไรบ้าง
ผลของการปรับปรุงที่คาดการณ์ไว้มีลักษณะอย่างไร มีความสําคัญเพียงใด
และให้ผลอะไร ในด้านการศึกษา
3. คําถามเกี่ยวกับความไม่แน่นอน
จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม
การปฏิบัติ แรงจูงใจ หรือ ทิศทางใหม่เป็นการปรับปรุงจริงๆ
จะตรวจสอบจากหลักฐานใดว่ามีการปรับปรุงเกิดขึ้นแล้ว
มีความเข้าใจในความเกี่ยวโยงกันระหว่างสิ่งที่รู้สึกว่าพัฒนาแล้วกับการพัฒนาที่ชัดเจน
เมื่อ มองในแง่ของคุณภาพการศึกษาในโรงเรียน
การพัฒนาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นจริง หรือเป็นเพียงจินตนาการ
4. คําถามเกี่ยวกับการเมืองในโรงเรียน
การเมืองในโรงเรียนมีความสําคัญต่อความพยายามในการปรับปรุง
เนื่องจากการปรับปรุงมี แนวคิดพื้นฐานมาจากค่านิยมและเป็นกระบวนการที่มีระบบ
บุคคลในองค์กรจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน และต้องการที่จะปฏิบัติตามแนวคิดของตน
การเข้าใจการเมืองที่อยู่เบื้องหลังความพยายามในการปรับปรุง
เท่ากับยอมรับว่าในโรงเรียนย่อมมีการช่วงชิงกันระหว่างกลุ่มผลประโยชน์
การทบทวนจะทําให้เกิดคําถาม เชิงการเมือง เพราะการปรับปรุงเกี่ยวกับ “ผลประโยชน์” “อํานาจ” และการแก้ปัญหาเรื่องความขัดแย้ง เมื่อมี
การปรับปรุงคําถามคือ ใครจะได้ผลประโยชน์อะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไร
และเพราะเหตุใด
5. คําถามเกี่ยวกับการลงลึกในการปฏิบัติการ
ถ้าการปรับปรุงมีจุดอ่อนและมีแรงกดดันจากภายนอก
การปรับปรุงก็จะมีลักษณะฉาบฉวย จนทําให้ละเลยสิ่งที่เป็นรากฐานที่ควรให้ความสนใจ
สิ่งสําคัญจะต้องทําความเข้าใจว่า การปรับปรุงโรงเรียน
และการปฏิรูปในโรงเรียนแตกต่างกัน โดยที่การปฏิรูปมีผลลึกซึ้งและเป็นการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาที่มี
ผลกระทบต่อทุกคนในองค์กร การเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งนี้
มักจะเกิดจากการรปรับปรุงโครงสร้างและอิทธิพลทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน
การเน้นที่การพัฒนาภายในมากเกินไปจะไม่นําไปสู่การปฏิรูป โรงเรียน
การปรับปรุงในวงที่กว้างออกไปจึงเป็นปัจจัยสําคัญในการปฏิรูป
การประเมินที่ประสบความสําเร็จจะต้องมีความชัดเจนของจุดมุ่งหมาย
จุดมุ่งหมายในการเรียนรู้
เป็นข้อความเกี่ยวกับการศึกษาที่แสดงถึงความมุ่งมั่น/เจตนาที่ตั้งใจจะ เกิดขึ้น
เช่น ความสามารถในการแก้ปัญหา ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
ทักษะด้านการสร้างสรรค์และ นวัตกรรม เป็นต้น
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
เป็นข้อความที่มีความเฉพาะให้รายละเอียดที่ได้มาจากจุดมุ่งหมาย ใช้เขียน
บรรยายพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่ผู้เรียนจะต้องกระทํา เช่น
ผู้เรียนจะต้องมีความสามารถในการรวบรวม จัดการ และวิเคราะห์ข้อมูล
เพื่อนําไปใช้ในการตัดสินใจ ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์เชื่อมโยงข้อมูล
ผลการเรียนรู้ เป็นชุดรายละเอียดที่ผู้เรียนสามารปฏิบัติได้หลังจากได้เรียนในรายวิชา
หรือหน่วย การเรียนในหลักสูตรรายวิชา
ผลการเรียนรู้จะต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสําเร็จขั้นต่ําของผู้เรียนที่แสดง
ออกเป็นรูปธรรมได้
ความสัมพันธ์ของจุดมุ่งหมาย วัตถุประสงค์
และผลการเรียนรู้ เขียนในรูปวัฏจักรการประเมินการ เรียนรู้ สรุปได้ดังภาพประกอบ
ต่อไปนี้
รูปแบบการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามแนวคิด Outcome Driven Model
การตรวจสอบความเข้าใจ และการสรุปความรู้
ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการจัดการเรียนรู้ ใช้ แนวทางการประเมินการเรียนรู้
ตามแนวคิด Outcome Driven Model
สรุปเป็นแผนภาพ ได้ดังนี้
การวัดผลและประเมินผลทางการศึกษามีจุดม่งหมาย
เพื่อรวบรวมรายละเอียดต่างๆ
เพื่อแสดงความก้าวหน้าตามเป้าหมายของหลักสูตรและเพื่อจุดประสงค์อื่น ๆ
ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษาจุดมุ่งหมายของการวัดผลแยกเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
(ภัทรา นิคมานนท์ 2543 : 20)
1. เพื่อการจัดตำแหน่ง (Placement) โดยใช้ผลการสอบบอกตำแหน่งของผู้เรียนว่ามีความรู้ความสามารถอยู่ในระดับใดของกลุ่ม
หรือเปรียบเทียบกับเกณฑ์แล้วอยู่ในระดับใด การใช้แบบสอบเพื่อจัดตำแหน่งนี้ ใช้ในวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ
1.1 ใช้สำหรับคัดเลือก (Selection) เป็นการใช้ผลการสอบในการตัดสินใจ ในการคัดเลือกเพื่อเข้าเรียนต่อ การเข้าทำงาน การให้ทุน ผลการสอบนี้ส่วนใหญ่จะคำนึงถึงอันดับที่สำคัญ
1.2 ใช้สำหรับแยกประเภท (Classification) เป็นการใช้ผลการสอบในการจำแนกบุคคลเป็นกลุ่ม เป็นพวก เช่น ใช้ในการตัดสินได้ตก แบ่งพวกเก่งอ่อนด้านใดด้านหนึ่ง พวกที่ผ่านเกณฑ์และยังไม่ผ่านเกณฑ์เหล่านี้
2. เพื่อการเปรียบเทียบ ( Assessment ) เป็นการประเมินก่อนเริ่มต้นการเรียนการสอน (Pre-test) ของแต่ละบทเรียนหรือแต่ละหน่วย เพื่อพิจารณาดูว่าผู้เรียนมีทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนเพียงใด ซึ่งจะช่วยให้รู้ว่าในระหว่างการเรียนรู้ ผู้เรียนควรมีความรู้เพิ่มอย่างไร และเป็นการพิจารณาดูว่าในการสอนอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับสภาพผู้เรียน อนึ่งหากว่าผลการประเมินผลก่อนเรียนพบว่า ผู้เรียนมีพื้นฐานไม่พอเพียงที่จะเรียนในเรื่องที่จะสอน ก็จำเป็นต้องได้รับการสอนซ่อมเสริมให้
มีพื้นฐานที่พอเพียงเสียก่อนจึงจะเริ่มต้นสอนเนื้อหาในหน่วยการเรียนต่อไปได้
3. เพื่อการวินิจฉัย ( Diagnosis ) เป็นการใช้ผลการสอบเพื่อค้นหาจุดเด่น จุดด้อยของผู้เรียนว่ามีปัญหาในเรื่องอะไร เพื่อจะนำไปสู่การตัดสินใจแก้ไขปรับปรุงให้ตรงเป้า แบบทดสอบที่ใช้เพื่อการนี้ คือแบบสอบวินิจฉัยการเรียน ( Diagnostic Test
) การนำผลการสอบไปใช้ในการวินิจฉัยการเรียนนี้
มักใช้ในวัตถุประสงค์ 2 ประการดังนี้คือ
3.1 เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนหรือประเมินผลย่อย
โดยการประเมินผลนี้ใช้ระหว่างมีการเรียนการสอน
เพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ ตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่
หากว่าผู้เรียนไม่ผ่านจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ ผู้สอนก็จะหาวิธีการที่จะช่วยให้ผู้เรียนนั้นมีความรู้ตามเกณฑ์ที่
ตั้งไว้ นอกจากนี้ยังใช้ผลการประเมินเพื่อตรวจสอบตัวผู้สอน เช่น ผลจากการสอนเนื้อหาเรื่องหนึ่ง ปรากฏว่าผู้เรียนส่วนใหญ่ในกลุ่มมีผลสัมฤทธิ์ไม่ผ่าน จุดประสงค์ที่ตั้งไว้ผู้สอนก็อาจจะตรวจสอบว่าการสอนของตนเองเป็นอย่างไร
การอธิบายชัดเจนหรือไม่
เมื่อผู้สอนตรวจสอบดูแล้วหากพบข้อบกพร่องจุดใดก็แก้ไขตรงตามนั้น
หลักการประเมินผลการเรียนรู้
การประเมินผลการเรียนรู้นั้นควรจะเป็นกระบวนการที่มีหลักการมารองรับเสมอหลักการควบคุมกระบวนการการประเมินผลการเรียนรู้มีดังต่อไปนี้
1. การประเมินผลต้องยึดตามจุดประสงค์การสอนที่ชัดเจนการประเมินลักษณะความสำคัญของผู้เรียนและองค์ประกอบอื่นๆด้านการเรียนการสอนนั้นต้องยึดตามจุดประสงค์การสอนซึ่งสอดคล้องจุดประสงค์ของโรงเรียนและของชาติองค์ประกอบสําคัญของกระบวนการทางการศึกษาควรมีโครงร่างเหมาะสมและความก้าวหน้าและพัฒนาการของผู้เรียนควรเป็นสิ่งสําคัญอันดับแรก
2. ขั้นตอนและเทคนิคในการประเมินผลควรเลือกตามจุดประสงค์ในการประเมินการประเมินผลควรมีการนําเอาองค์ประกอบที่เกี่ยวกับผลการปฏิบัติของผู้เรียนที่เฉพาะเจาะจงตามที่ระบุไว้ในจุดประสงค์มาพิจารณาเพื่อเลือกขั้นตอนในการประเมินผลที่เกี่ยวข้องและเหมาะสม
3. การประเมินผลควรเป็นที่เข้าใจได้
การประเมินผลควรจะครอบคลุมองค์ประกอบด้าน ความก้าวหน้าของผู้เรียนอย่างกว้างขวาง
ควรจะประเมินพัฒนาการของนักเรียนในผลการเรียนรู้คาดหวังทุกข้อ
การประเมินผลไม่ควรจะยึดตามการพัฒนาทางปัญญาเช่นความรู้ ความเข้าใจ
ทักษะการคิดเท่านั้น แต่ควร จะรวมถึงการพัฒนาด้านจิตใจ และทักษะ
เช่นการปรับเปลี่ยนทัศนคติ พฤติกรรมและการปฏิบัติจริงอีกด้วย
4.การประเมินผลควรทําอย่างต่อเนื่องการประเมินผลควรทําอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมและประเมินพัฒนาการของผู้เรียน
การประเมินผลควรจะทําคู่ขนานไปกับกระบวนการในการศึกษาที่ผู้เรียนได้รับการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
5. การประเมินผลควรระบุจุดอ่อนจุดแข็งและใช้งานได้
กระบวนการประเมินผลควรสามารถที่
จะเจาะลึกถึงธรรมชาติของสถานการณ์การเรียนการสอนได้เช่นเดียวกับสาเหตุของปัญหาที่ขัดขวางประสิทธิภาพขอกระบวนการการเรียนรู้และพัฒนาการที่เหมาะสมของนักเรียนในชั้นเรียนควรจะให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาการเรียนการสอนและองค์ประกอบอื่นๆที่ก่อให้เกิดบรรยากาศในชั้นเรียนที่ดีอย่างไรก็ตามข้อมูลที่รวบรวมผ่านกระบวนการการประเมินผล
ไม่ควรที่จะนํามาใช้เพื่อเก็บบันทึกเพียงอย่าง เดียว แต่ควรถูกนํามาใช้ ประยุกต์
หรือตอบสนองเพื่อพัฒนารูปแบบการเรียน วิธีการสอน และเรื่องอื่นๆ ที่
เกี่ยวข้องที่จะส่งผลต่อการเรียนการสอนในชั้นเรียน
6. การประเมินผลควรเป็นความพยายามร่วมกันการประเมินผลไม่ควรจะเป็นการทํางานของบุคคลเพียงไม่กี่คนโดยควรจะเป็นความพยายามร่วมกันของทุกคนที่เกี่ยวข้องในการเสียหลักสตรของโรงเรียนเพื่อให้การประเมินผลมีประสิทธิภาพและประสบผลสําเร็จผู้บริหารและตัวผู้เรียนเองและแม้กระทั่งคนในชุมชนหากจําเป็นควรจะทํางานร่วมกันเพื่อการประเมินผลการพัฒนา และความก้าวหน้าของผู้เรียนที่ดีขึ้น
7. การประเมินผลควรจะมีความละเอียดรอบคอบ
ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะทําให้การและเมินผลให้ผลที่สมบูรณ์แบบ
ผลการประเมินไม่ได้ให้ข้อมูลโดยตรงเสมอไปเพราะเครื่องมือที่ใช้ในการ ประเมินผล
ไม่ได้มีความแม่นยําที่สุดอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นในการประเมินผล
การตัดสินที่รอบคอบและเฉียบ ขาดจึงมีความจําเป็นอย่างยิ่ง
หลักการวัดผลการศึกษา
1.
ต้องวัดให้ตรงกับจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน คือ
การวัดผลจะเป็นสิ่งตรวจสอบผลจากการสอนของครูว่า
นักเรียนเกิดพฤติกรรมตามที่ระบุไว้ในจุดมุ่งหมายการสอนมากน้อยเพียงใด
2.
เลือกใช้เครื่องมือวัดที่ดีและเหมาะสม
การวัดผลครูต้องพยายามเลือกใช้เครื่องมือวัดที่มีคุณภาพ ใช้เครื่องมือวัดหลาย ๆ
อย่าง เพื่อช่วยให้การวัดถูกต้องสมบูรณ์
3.
ระวังความคลาดเคลื่อนหรือความผิดพลาดของการวัด เมื่อจะใช้เครื่องมือชนิดใด
ต้องระวังความบกพร่องของเครื่องมือหรือวิธีการวัดของครู
4.
ประเมินผลการวัดให้ถูกต้อง เช่น
คะแนนที่เกิดจาการสอนครูต้องแปลผลให้ถูกต้องสมเหตุสมผลและมีความยุติธรรม
5.
ใช้ผลการวัดให้คุ้มค่า จุดประสงค์สำคัญของการวัดก็คือ
เพื่อค้นและพัฒนาสมรรถภาพของนักเรียน ต้องพยายามค้นหาผู้เรียนแต่ละคนว่า
เด่น-ด้อยในเรื่องใด และหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขแต่ละคนให้ดีขึ้น
จุดมุ่งหมายของการวัดผลการศึกษา
1.
วัดผลเพื่อและพัฒนาสมรรถภาพของนักเรียน หมายถึง
การวัดผลเพื่อดูว่านักเรียนบกพร่องหรือไม่เข้าใจในเรื่องใดอย่างไร
แล้วครูพยายามอบรมสั่งสอนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และมีความเจริญงอกงามตามศักยภาพของนักเรียน
2.
วัดผลเพื่อวินิจฉัย หมายถึง การวัดผลเพื่อค้นหาจุดบกพร่องของนักเรียนที่มีปัญหาว่า
ยังไม่เกิดการเรียนรู้ตรงจุดใด เพื่อหาทางช่วยเหลือ
3.
วัดผลเพื่อจัดอันดับหรือจัดตำแหน่ง หมายถึง
การวัดผลเพื่อจัดอันดับความสามารถของนักเรียนในกลุ่มเดียวกันว่าใครเก่งกว่า
ใครควรได้อันที่ 1 2
4.
วัดผลเพื่อเปรียบเทียบหรือเพื่อทราบพัฒนาการของนักเรียน หมายถึง
การวัดผลเพื่อเปรียบเทียบความสามารถของนักเรียนเอง เช่น การทดสอบก่อนเรียน
และหลังเรียนแล้วนำผลมาเปรียบเทียบกัน
5.
วัดผลเพื่อพยากรณ์ หมายถึง
การวัดเพื่อนำผลที่ได้ไปคาดคะเนหรือทำนายเหตุการณ์ในอนาคต
6.
วัดผลเพื่อประเมินผล หมายถึง การวัดเพื่อนำผลที่ได้มาตัดสิน
หรือสรุปคุณภาพของการจัดการศึกษาว่ามีประสิทธิภาพสูงหรือต่ำ
ควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร
การประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตร
นิยาม “การประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตร
การประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตร (Curriculum Based Assessment; CBA) คือ การให้ผู้เรียน
เรียนรู้ตามกิจกรรมที่ออกแบบให้สอดคล้องกับหลักสูตรที่ใช้
จากนั้นนําผลการทดสอบไปใช้ปรับปรุงการ
เรียนการสอนให้ตอบสนองความต้องการจําเป็นของนักเรียน
ผู้สอนนําผลการประเมินตามหลักสูตรมาใช้เพื่อ ปรับเปลี่ยนการสอนของตนเอง
เพื่อช่วยผู้เรียนให้พร้อมที่จะเรียนเรื่องต่อไป หรือกรณีที่ผู้เรียนที่มีความ
พร้อมและต้องการก้าวหน้ายิ่งขึ้น
นักการศึกษาใช้การประเมินตามหลักสูตรเพื่อช่วยให้อัตราการพัฒนาการ
เรียนการสอนสูงขึ้นได้ รวมถึงการปรับปรุงสื่อการเรียนการสอน ด้วยการสังเกตและบันทึกการปฏิบัติของนักเรียนตามที่กําหนดไว้ในหลักสูตรสถานศึกษา
ข้อมูลต่าง ๆ ที่เก็บรวบรวมได้จะช่วยในการตัดสินใจ เกี่ยวกับการเรียนการสอน (Deno,
1987, p. 41) ในการประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรนั้นการตัดสินใจ
เกี่ยวกับการสอนขึ้นอยู่กับข้อมูลย้อนกลับที่ได้จากการประเมินความสามารถของผู้เรียนที่ระบุไว้ในหลักสูตร
เป้าหมายแรกคือ แนวทางในกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับการเรียนการสอน (Blankenship,
1985; Graden, Zins, & Curtis, 1988; Marston & Magnusson, 1985) ทั้งนี้เพื่อให้การเรียนการสอนตรงกับความต้องการของ ผู้เรียน อันเป็นการเพิ่มโอกาสที่ประสบความสําเร็จในการเรียนรู้
การประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรมีจุดเด่นที่บอกถึงภาระงานใดที่ช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถตามที่หลักสูตรกําหนดการเลือกภาระงานและกระบวนการใช้คะแนนมาตรฐาน
และการ บริหาร ใช้การประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรอย่างไรนั้นก็แล้วแต่สถานการณ์อาจใช้ข้อมูลที่ได้จากการประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรให้โปรไฟล์ของผู้เรียนได้ทั้งในระดับรายบุคคลระดับชั้นเรียน
ระดับ
สถานศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษานอกจากนี้ข้อมูลจากการประเมินตามหลักสูตรสามารถใช้เป็นกลุ่ม
เปรียบเทียบ (norm-referenced
manner) ที่ใช้เปรียบเทียบคะแนนของผู้เรียนรายบุคคลมา (Shinn,
1988) หรือ ใช้เป็นเกณฑ์เปรียบเทียบ (Criterion-referenced
manner) ความสามารถของผู้เรียน อันเป็นผลมาจากการเรียน
การสอนที่สัมพันธ์สอดคล้องกับ ความต้องการของผู้เรียน (Shinn & Good,
1992)
การประเมินผลการเรียนรู้ในระดับอุดมศึกษากรอบที่ใช้ในการอ้างอิงทฤษฎีและแนวปฏิบัติ
ที่เป็นผลการศึกษาวิจัยของเดวิด นิโคล (David Nicol University of Strathclyde สรุปเป็นหลักการประเมิน
การให้ข้อมูลย้อนกลับที่ดี 10 ข้อ ดังนี้
1. ให้ความชัดเจนว่าการปฏิบัติงานที่ดีเป็นอย่างไร
(เป้าหมายเกณฑ์การวัด เกณฑ์มาต
ขอบเขตของสิ่งที่ผู้เรียนต้องทําในหลักสูตรมีความสัมพันธ์กับเป้าหมายของเกณฑ์และมาตรฐาน
ระหว่าง และหลังการประเมินผลแค่ไหน
2. ให้ “เวลาและความพยายาม” กับการเรียนรู้สิ่งที่ท้าทายขอบเขตของงานที่มอบหมายมีส่
กระตุ้นการเรียนรู้ทั้งในและนอกชั้นเรียน อย่างลึกซึ้งแค่ไหน
3. ให้ข้อมูลย้อนกลับคุณภาพสูงที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตรวจสอบความถูกต้องได้ร้า
ตนเอง ผู้สอนให้ข้อมูลย้อนกลับหรือไม่ อย่างไร
และความคิดเห็นดังกล่าวมีส่วนช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ และปรับปรุงด้วยตนเองได้อย่างไร
4. สร้างความเชื่อที่เป็นแรงบันดาลใจและความเคารพตนเองในทางบวก
ขอบเขตของการ
ประเมินและการให้ข้อมูลย้อนกลับสามารถสร้างแรงจูงใจในการเรียนและความสําเร็จแก่ผู้เรียนได้แค่ไหน
5. สนับสนุนให้มีการปฏิสัมพันธ์และการพูดคุยในเรื่องการเรียนการสอน
(เพื่อน และครู นักเรียน)
มีโอกาสใดบ้างสําหรับการพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องงานที่มอบหมายเพื่อการประเมินผลในรายวิชาที่
สอน
6. อํานวยความสะดวกในการพัฒนาการประเมินตนเองและการสะท้อนความคิดทางด้านการ
เรียน ขอบเขตของโอกาสอย่างเป็นทางการสําหรับการให้ข้อมูลย้อนกลับ การประเมินตนเอง
การประเมิน โดยเพื่อนในวิชาที่เรียนมีแค่ไหน
7. ให้โอกาสผู้เรียนเลือกการประเมินผล
- เนื้อหาและกระบวนการ ขอบเขตของผู้เรียนสําหรับ การเลือก หัวข้อ วิธีการ
เกณฑ์การวัดผล ค่าน้ําหนักคะแนน กําหนดเวลา และงานที่มอบหมายเพื่อการ ประเมินผล
(งานที่ใช้ประเมินผลการประเมินผลงาน)ในรายวิชาที่สอน มีมากน้อยเพียงใด)
8. ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการประเมินผลและการปฏิบัติขอบเขตของข้อมูลที่ผู้เรียนได้รับหรือมีการส่วนร่วมให้คําปรึกษาเพื่อการตัดสินใจเรื่องการประเมินผลมีหรือไม่
อย่างไร
9. สนับสนุนการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ขอบเขตของการประเมินผลและการให้ข้อมูล
ย้อนกลับช่วยสนับสนุนการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้มีมากน้อยเพียงใด
10. ช่วยครูผู้สอนในการปรับการเรียนการสอนเพื่อตอบสนองความต้องการของนักเรียน
ดังนั้นการประเมินผลจะมีหลักการกระบวนการการประเมินการเรียนรู้
ดังต่อไปนี้
1. การประเมินผลต้องยึดตามจุดประสงค์การสอนที่ชัดเจน
2. ขั้นตอนและเทคนิคในการประเมินผลควรเลือกตามจุดประสงค์ในการประเมิน
3. การประเมินผลควรเป็นที่เข้าใจได้ตรงกัน
4. การประเมินผลควรทําอย่างต่อเนื่อง
5 การประเมินผลควรระบุจุดอ่อนจุดแข็งและใช้งานได้
6. การประเมินผลควรเป็นความพยายามร่วมกัน
7. การประเมินผลควรจะมีความละเอียดรอบครอบ
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระดับชั้นเรียน ระดับสถานศึกษา ระดับเขตพื้นที่การศึกษา
และระดับชาติ มีรายละเอียด ดังนี้
1. การประเมินระดับชั้นเรียน เป็นการวัดและประเมินผลที่อยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนดำเนินการเป็นปกติและสม่ำเสมอ ในการจัดการเรียนการสอน
ใช้เทคนิคการประเมินอย่างหลากหลาย เช่น การซักถาม การสังเกต การตรวจการบ้าน
การประเมินโครงงาน การประเมินชิ้นงาน/ ภาระงาน แฟ้มสะสมงาน
การใช้แบบทดสอบ ฯลฯ โดยผู้สอนเป็นผู้ประเมินเองหรือเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนประเมินตนเอง
เพื่อนประเมินเพื่อน ผู้ปกครองร่วมประเมิน ในกรณีที่ไม่ผ่านตัวชี้วัดให้มี การสอนซ่อมเสริม
การประเมินระดับชั้นเรียนเป็นการตรวจสอบว่า
ผู้เรียนมีพัฒนาการความก้าวหน้าในการเรียนรู้ อันเป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือไม่
และมากน้อยเพียงใด มีสิ่งที่จะต้องได้รับการพัฒนาปรับปรุงและส่งเสริมในด้านใด
นอกจากนี้ยังเป็นข้อมูลให้ผู้สอนใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนของตนด้วย
ทั้งนี้โดยสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด
2. การประเมินระดับสถานศึกษา เป็นการประเมินที่สถานศึกษาดำเนินการเพื่อตัดสินผล การเรียนของผู้เรียนเป็นรายปี/รายภาค ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์
และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นอกจากนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการศึกษา ของสถานศึกษาว่าส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนตามเป้าหมายหรือไม่
ผู้เรียนมีจุดพัฒนาในด้านใด
รวมทั้งสามารถนำผลการเรียนของผู้เรียนในสถานศึกษาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ระดับชาติ
ผลการประเมินระดับสถานศึกษาจะเป็นข้อมูลและสารสนเทศเพื่อการปรับปรุงนโยบาย
หลักสูตร โครงการ หรือวิธีการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนเพื่อการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ตามแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษาและการรายงานผลการจัดการศึกษาต่อคณะกรรมการสถานศึกษา
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครองและชุมชน
3. การประเมินระดับเขตพื้นที่การศึกษา เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับเขตพื้นที่การศึกษาตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษา
ตามภาระความรับผิดชอบ
สามารถดำเนินการโดยประเมินคุณภาพผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนด้วยข้อสอบมาตรฐานที่จัดทำและดำเนินการโดยเขตพื้นที่การศึกษา
หรือด้วยความร่วมมือกับหน่วยงานต้นสังกัด ในการดำเนินการจัดสอบ
นอกจากนี้ยังได้จากการตรวจสอบทบทวนข้อมูลจากการประเมินระดับสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา
4. การประเมินระดับชาติ เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับชาติตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้ารับการประเมิน
ผลจากการประเมินใช้เป็นข้อมูลในการเทียบเคียงคุณภาพการศึกษาในระดับต่าง ๆ
เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา ตลอดจนเป็นข้อมูลสนับสนุน การตัดสินใจในระดับนโยบายของประเทศ
ข้อมูลการประเมินในระดับต่าง ๆ ข้างต้น
เป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษาในการตรวจสอบทบทวนพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
ถือเป็นภาระความรับผิดชอบของสถานศึกษาที่จะต้องจัดระบบดูแลช่วยเหลือ ปรับปรุงแก้ไข
ส่งเสริมสนับสนุนเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพบนพื้นฐานความแตกต่างระหว่างบุคคลที่จำแนกตามสภาพปัญหาและความต้องการ
ได้แก่ กลุ่มผู้เรียนทั่วไป กลุ่มผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษ กลุ่มผู้เรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ
กลุ่มผู้เรียนที่มีปัญหาด้านวินัยและพฤติกรรม กลุ่มผู้เรียนที่ปฏิเสธโรงเรียน
กลุ่มผู้เรียนที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มพิการทางร่างกายและสติปัญญา
เป็นต้น
ข้อมูลจากการประเมินจึงเป็นหัวใจของสถานศึกษาในการดำเนินการช่วยเหลือผู้เรียนได้ทันท่วงที ปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาและประสบความสำเร็จในการเรียน
สถานศึกษาในฐานะผู้รับผิดชอบจัดการศึกษา จะต้องจัดทำระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผลการเรียนของสถานศึกษาให้สอดคล้องและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เป็นข้อกำหนดของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เพื่อให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายถือปฏิบัติร่วมกัน
เกณฑ์การวัดและประเมินผลการเรียน
1. การตัดสิน การให้ระดับและการรายงานผลการเรียน
1.1 การตัดสินผลการเรียน
ในการตัดสินผลการเรียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้ การอ่าน
คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนนั้น
ผู้สอนต้องคำนึงถึงการพัฒนาผู้เรียนแต่ละคนเป็นหลัก
และต้องเก็บข้อมูลของผู้เรียนทุกด้านอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องในแต่ละภาคเรียน
รวมทั้งสอนซ่อมเสริมผู้เรียนให้พัฒนาจนเต็มตามศักยภาพ
ระดับประถมศึกษา
(1) ผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ
80 ของเวลาเรียนทั้งหมด
(2) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินทุกตัวชี้วัด
และผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด
(3)
ผู้เรียนต้องได้รับการตัดสินผลการเรียนทุกรายวิชา
(4) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมิน
และมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษา
กำหนด ในการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ระดับมัธยมศึกษา
(1) ตัดสินผลการเรียนเป็นรายวิชา ผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนตลอดภาคเรียนไม่น้อยกว่า
ร้อยละ 80 ของเวลาเรียนทั้งหมดในรายวิชานั้น ๆ
(2) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินทุกตัวชี้วัด
และผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด
(3) ผู้เรียนต้องได้รับการตัดสินผลการเรียนทุกรายวิชา
(4) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมิน
และมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษา
กำหนด ในการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
การพิจารณาเลื่อนชั้นทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
ถ้าผู้เรียนมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อย
และสถานศึกษาพิจารณาเห็นว่าสามารถพัฒนาและสอนซ่อมเสริมได้
ให้อยู่ในดุลพินิจของสถานศึกษาที่จะผ่อนผันให้เลื่อนชั้นได้
แต่หากผู้เรียนไม่ผ่านรายวิชาจำนวนมาก
และมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหาต่อการเรียนในระดับ
ชั้นที่สูงขึ้น
สถานศึกษาอาจตั้งคณะกรรมการพิจารณาให้เรียนซ้ำชั้นได้
ทั้งนี้ให้คำนึงถึงวุฒิภาวะและความรู้ความสามารถของผู้เรียนเป็นสำคัญ
1.2 การให้ระดับผลการเรียน
ระดับประถมศึกษา ในการตัดสินเพื่อให้ระดับผลการเรียนรายวิชา สถานศึกษาสามารถให้ระดับผลการเรียนหรือระดับคุณภาพการปฏิบัติของผู้เรียน เป็นระบบตัวเลข ระบบตัวอักษร ระบบร้อยละ และระบบที่ใช้คำสำคัญสะท้อนมาตรฐาน
การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน
และคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้น ให้ระดับผล
การประเมินเป็น ดีเยี่ยม ดี และผ่าน
การประเมินเป็น ดีเยี่ยม ดี และผ่าน
การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
จะต้องพิจารณาทั้งเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม การปฏิบัติกิจกรรมและผลงานของผู้เรียน
ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด และให้ผลการเข้าร่วมกิจกรรมเป็นผ่าน และไม่ผ่าน
ระดับมัธยมศึกษา ในการตัดสินเพื่อให้ระดับผลการเรียนรายวิชา ให้ใช้ตัวเลขแสดงระดับผลการเรียนเป็น 8 ระดับ
การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน
และคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้น ให้ระดับผล
การประเมินเป็น ดีเยี่ยม ดี และผ่าน
การประเมินเป็น ดีเยี่ยม ดี และผ่าน
การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
จะต้องพิจารณาทั้งเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม การปฏิบัติกิจกรรมและผลงานของผู้เรียน
ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด และให้ผลการเข้าร่วมกิจกรรมเป็นผ่าน และไม่ผ่าน
1.3 การรายงานผลการเรียน
การรายงานผลการเรียนเป็นการสื่อสารให้ผู้ปกครองและผู้เรียนทราบความก้าวหน้า
ในการเรียนรู้ของผู้เรียน
ซึ่งสถานศึกษาต้องสรุปผลการประเมินและจัดทำเอกสารรายงานให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะ ๆ
หรืออย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้ง
การรายงานผลการเรียนสามารถรายงานเป็นระดับคุณภาพการปฏิบัติของผู้เรียนที่สะท้อนมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้
2. เกณฑ์การจบการศึกษา
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดเกณฑ์กลางสำหรับการจบการศึกษาเป็น
3 ระดับ คือ ระดับประถมศึกษา
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
2.1 เกณฑ์การจบระดับประถมศึกษา
(1) ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐาน
และรายวิชา/กิจกรรมเพิ่มเติมตามโครงสร้างเวลาเรียน ที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด
(2)
ผู้เรียนต้องมีผลการประเมินรายวิชาพื้นฐาน ผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด
(3) ผู้เรียนมีผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์
และเขียนในระดับผ่านเกณฑ์ การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด
(4)
ผู้เรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด
(5)
ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด
2.2 เกณฑ์การจบระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
(1) ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐานและเพิ่มเติมไม่เกิน
81 หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน 63 หน่วยกิต
และรายวิชาเพิ่มเติมตามที่สถานศึกษากำหนด
(2) ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิตตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน 63 หน่วยกิต และรายวิชาเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า
14 หน่วยกิต
(3) ผู้เรียนมีผลการประเมิน การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน
ในระดับผ่าน เกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด
(4) ผู้เรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด
(5) ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระดับชั้นเรียน ระดับสถานศึกษา ระดับเขตพื้นที่การศึกษา และระดับชาติ มีรายละเอียด ดังนี้
1. การประเมินระดับชั้นเรียน เป็นการวัดและประเมินผลที่อยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนดำเนินการเป็นปกติและสม่ำเสมอ ในการจัดการเรียนการสอน
ใช้เทคนิคการประเมินอย่างหลากหลาย เช่น การซักถาม การสังเกต การตรวจการบ้าน
การประเมินโครงงาน การประเมินชิ้นงาน/ ภาระงาน แฟ้มสะสมงาน
การใช้แบบทดสอบ ฯลฯ โดยผู้สอนเป็นผู้ประเมินเองหรือเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนประเมินตนเอง
เพื่อนประเมินเพื่อน ผู้ปกครองร่วมประเมิน ในกรณีที่ไม่ผ่านตัวชี้วัดให้มี การสอนซ่อมเสริม
การประเมินระดับชั้นเรียนเป็นการตรวจสอบว่า
ผู้เรียนมีพัฒนาการความก้าวหน้าในการเรียนรู้ อันเป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือไม่
และมากน้อยเพียงใด มีสิ่งที่จะต้องได้รับการพัฒนาปรับปรุงและส่งเสริมในด้านใด
นอกจากนี้ยังเป็นข้อมูลให้ผู้สอนใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนของตนด้วย
ทั้งนี้โดยสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด
2. การประเมินระดับสถานศึกษา เป็นการประเมินที่สถานศึกษาดำเนินการเพื่อตัดสินผล การเรียนของผู้เรียนเป็นรายปี/รายภาค ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์
และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นอกจากนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการศึกษา ของสถานศึกษาว่าส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนตามเป้าหมายหรือไม่
ผู้เรียนมีจุดพัฒนาในด้านใด
รวมทั้งสามารถนำผลการเรียนของผู้เรียนในสถานศึกษาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ระดับชาติ
ผลการประเมินระดับสถานศึกษาจะเป็นข้อมูลและสารสนเทศเพื่อการปรับปรุงนโยบาย
หลักสูตร โครงการ หรือวิธีการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนเพื่อการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ตามแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษาและการรายงานผลการจัดการศึกษาต่อคณะกรรมการสถานศึกษา
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครองและชุมชน
3. การประเมินระดับเขตพื้นที่การศึกษา เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับเขตพื้นที่การศึกษาตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษา
ตามภาระความรับผิดชอบ สามารถดำเนินการโดยประเมินคุณภาพผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนด้วยข้อสอบมาตรฐานที่จัดทำและดำเนินการโดยเขตพื้นที่การศึกษา
หรือด้วยความร่วมมือกับหน่วยงานต้นสังกัด ในการดำเนินการจัดสอบ
นอกจากนี้ยังได้จากการตรวจสอบทบทวนข้อมูลจากการประเมินระดับสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา
4. การประเมินระดับชาติ เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับชาติตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้ารับการประเมิน
ผลจากการประเมินใช้เป็นข้อมูลในการเทียบเคียงคุณภาพการศึกษาในระดับต่าง ๆ
เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา ตลอดจนเป็นข้อมูลสนับสนุน การตัดสินใจในระดับนโยบายของประเทศ
ข้อมูลการประเมินในระดับต่าง ๆ ข้างต้น
เป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษาในการตรวจสอบทบทวนพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
ถือเป็นภาระความรับผิดชอบของสถานศึกษาที่จะต้องจัดระบบดูแลช่วยเหลือ ปรับปรุงแก้ไข
ส่งเสริมสนับสนุนเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพบนพื้นฐานความแตกต่างระหว่างบุคคลที่จำแนกตามสภาพปัญหาและความต้องการ
ได้แก่ กลุ่มผู้เรียนทั่วไป กลุ่มผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษ กลุ่มผู้เรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ
กลุ่มผู้เรียนที่มีปัญหาด้านวินัยและพฤติกรรม กลุ่มผู้เรียนที่ปฏิเสธโรงเรียน
กลุ่มผู้เรียนที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มพิการทางร่างกายและสติปัญญา
เป็นต้น
ข้อมูลจากการประเมินจึงเป็นหัวใจของสถานศึกษาในการดำเนินการช่วยเหลือผู้เรียนได้ทันท่วงที ปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาและประสบความสำเร็จในการเรียน
สถานศึกษาในฐานะผู้รับผิดชอบจัดการศึกษา จะต้องจัดทำระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผลการเรียนของสถานศึกษาให้สอดคล้องและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เป็นข้อกำหนดของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เพื่อให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายถือปฏิบัติร่วมกัน
เกณฑ์การวัดและประเมินผลการเรียน
1. การตัดสิน การให้ระดับและการรายงานผลการเรียน
1.1 การตัดสินผลการเรียน
ในการตัดสินผลการเรียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้ การอ่าน
คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนนั้น
ผู้สอนต้องคำนึงถึงการพัฒนาผู้เรียนแต่ละคนเป็นหลัก
และต้องเก็บข้อมูลของผู้เรียนทุกด้านอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องในแต่ละภาคเรียน รวมทั้งสอนซ่อมเสริมผู้เรียนให้พัฒนาจนเต็มตามศักยภาพ
ระดับประถมศึกษา
(1) ผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ
80 ของเวลาเรียนทั้งหมด
(2) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินทุกตัวชี้วัด
และผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด
(3)
ผู้เรียนต้องได้รับการตัดสินผลการเรียนทุกรายวิชา
(4) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมิน
และมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษา
กำหนด ในการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ระดับมัธยมศึกษา
(1) ตัดสินผลการเรียนเป็นรายวิชา
ผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนตลอดภาคเรียนไม่น้อยกว่า
ร้อยละ 80 ของเวลาเรียนทั้งหมดในรายวิชานั้น ๆ
(2) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินทุกตัวชี้วัด
และผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด
(3) ผู้เรียนต้องได้รับการตัดสินผลการเรียนทุกรายวิชา
(4) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมิน
และมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษา
กำหนด ในการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
การพิจารณาเลื่อนชั้นทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
ถ้าผู้เรียนมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อย
และสถานศึกษาพิจารณาเห็นว่าสามารถพัฒนาและสอนซ่อมเสริมได้ ให้อยู่ในดุลพินิจของสถานศึกษาที่จะผ่อนผันให้เลื่อนชั้นได้
แต่หากผู้เรียนไม่ผ่านรายวิชาจำนวนมาก
และมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหาต่อการเรียนในระดับ
ชั้นที่สูงขึ้น
สถานศึกษาอาจตั้งคณะกรรมการพิจารณาให้เรียนซ้ำชั้นได้
ทั้งนี้ให้คำนึงถึงวุฒิภาวะและความรู้ความสามารถของผู้เรียนเป็นสำคัญ
1.2 การให้ระดับผลการเรียน
ระดับประถมศึกษา ในการตัดสินเพื่อให้ระดับผลการเรียนรายวิชา สถานศึกษาสามารถให้ระดับผลการเรียนหรือระดับคุณภาพการปฏิบัติของผู้เรียน เป็นระบบตัวเลข ระบบตัวอักษร ระบบร้อยละ และระบบที่ใช้คำสำคัญสะท้อนมาตรฐาน
การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน
และคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้น ให้ระดับผล
การประเมินเป็น ดีเยี่ยม ดี และผ่าน
การประเมินเป็น ดีเยี่ยม ดี และผ่าน
การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
จะต้องพิจารณาทั้งเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม การปฏิบัติกิจกรรมและผลงานของผู้เรียน
ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด และให้ผลการเข้าร่วมกิจกรรมเป็นผ่าน และไม่ผ่าน
ระดับมัธยมศึกษา ในการตัดสินเพื่อให้ระดับผลการเรียนรายวิชา ให้ใช้ตัวเลขแสดงระดับผลการเรียนเป็น 8 ระดับ
การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน
และคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้น ให้ระดับผล
การประเมินเป็น ดีเยี่ยม ดี และผ่าน
การประเมินเป็น ดีเยี่ยม ดี และผ่าน
การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
จะต้องพิจารณาทั้งเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม การปฏิบัติกิจกรรมและผลงานของผู้เรียน
ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด และให้ผลการเข้าร่วมกิจกรรมเป็นผ่าน และไม่ผ่าน
1.3 การรายงานผลการเรียน
การรายงานผลการเรียนเป็นการสื่อสารให้ผู้ปกครองและผู้เรียนทราบความก้าวหน้า
ในการเรียนรู้ของผู้เรียน
ซึ่งสถานศึกษาต้องสรุปผลการประเมินและจัดทำเอกสารรายงานให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะ ๆ
หรืออย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้ง
การรายงานผลการเรียนสามารถรายงานเป็นระดับคุณภาพการปฏิบัติของผู้เรียนที่สะท้อนมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้
2. เกณฑ์การจบการศึกษา
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดเกณฑ์กลางสำหรับการจบการศึกษาเป็น
3 ระดับ คือ ระดับประถมศึกษา
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
2.1 เกณฑ์การจบระดับประถมศึกษา
การวัดและการประเมินผล
การวัดและการประเมินผลเป็นภารกิจที่สําคัญอย่างหนึ่งสําหรับผู้สอน
ด้วยเหตุผลที่ว่าการวัดและ
การประเมินผลจะเป็นวิธีการที่ประเมินความรู้ความสามารถของผู้เรียนตลอดจนใช้เป็นวิธีการในการ
ตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้สอนได้ว่า ได้ดําเนินการสอนให้เป็นไปตามเป้าหมายหรือจุดประสงค์ที่
กําหนดไว้หรือไม่
ดังนั้นผู้สอนจึงจําเป็นจะต้องมีความรู้ความเข้าใจและสามารถดําเนินการวัดและการ
ประเมินผลได้เป็นอย่างดี
การวัดเป็นกระบวนการเชิงปริมาณในการกําหนดค่าเป็นตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่มีความหมายแทน
คุณลักษณะของสิ่งที่วัด โดยอาศัยกฎเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง
ส่วนคําว่า “การประเมินผล” นั้นเป็นการตัดสินเกี่ยวกับคุณภาพหรือคุณค่าของวัตถุสิ่งของ
โครงการการศึกษาพฤติกรรมการทํางานของคนงานหรือความรู้ความสามารถของนักเรียน
จุดประสงค์ของการวัดและการประเมินผล
การวัดและการประเมินผลการศึกษาหรือการเรียนการสอนหรือที่ในปัจจุบันใช้คําว่าการจัดการ
เรียนรู้เป็นไปเพื่อจุดประสงค์ดังต่อไปนี้
1. การจัดตําแหน่ง (Placement) เป็นการวัดและการประเมินผลโดยใช้เครื่องมือต่าง
ๆ เพื่อจัด
หรือแบ่งประเภทผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความสามารถอยู่ตรงระดับไหนของกลุ่มเก่ง ปานกลาง
หรืออ่อน มาก น้อยเท่าใด ซึ่งสามารถใช้ได้หลาย ๆ กรณี ตัวอย่างเช่น
เมื่อจะรับผู้เรียนเข้าสถานศึกษา ผู้เรียนแต่ละคนจะมี
ความแตกต่างกันทั้งด้านสติปัญญา ความสนใจ ความถนัด รวมทั้งบุคลิกภาพด้านต่างๆ
ที่จะต้องมีการ คัดเลือกว่าจะรับผู้เรียนประเภทใดหรือไม่รับประเภทใดและถ้ารับเข้ามาแล้วจะจัดแบ่งสาขาวิชาหรือชั้นเรียน
อย่างไร
ดังนั้นผู้สอนหรือสถานศึกษาก็จะสามารถใช้การวัดและการประเมินผลมาเป็นเกณฑ์ในการจัดหรือ
แบ่งประเภทได้อย่างยุติธรรม
2. การวินิจฉัย (Diagnosis) คําๆนี้
มักจะใช้ในทางการแพทย์ โดยเมื่อแพทย์ตรวจคนไข้แล้ว แพทย์ จะต้องวินิจฉัยว่าคนไข้เป็นโรคอะไร
หรือมีสาเหตุอะไรที่ทําให้ไม่สบาย ซึ่งจะเป็นการหาสมมติฐานของโรค
เพื่อนําไปสู่การรักษา สําหรับในทางการศึกษานั้น
การวัดและการประเมินผลที่เป็นไปเพื่อการวินิจฉัยว่า
ผู้เรียนคนใดมีความสามารถทางด้านใดและเมื่อสอนไปแล้วในแต่ละวิชามีส่วนใดที่ผู้เรียนเข้าใจ
ชัดเจน ถูกต้องหรือไม่เข้าใจ เข้าใจยังไม่ถูกต้อง
ผู้สอนจะได้สอนหรือแนะนําทําความเข้าใจใหม่ได้ถูกต้อง
3. การเปรียบเทียบ (Assessment) จุดประสงค์ของการวัดและการประเมินผลในข้อนี้เป็นไปเพื่อการ
เปรียบเทียบความเจริญงอกงามหรือพัฒนาการของการเรียนรู้ของผู้เรียน
โดยการที่ผู้สอนอาจจะสอบวัด
ความรู้ความสามารถของผู้เรียนไว้ก่อนเมื่อเริ่มเรียนแล้ว
หลังจากนั้นเมื่อเลิกเรียนไปแล้วระยะหนึ่ง หรือเมื่อ
เรียนไปจนจบแล้วผู้สอนอาจจะสอบเพื่อวัดและประเมินผลอีกครั้งว่าผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด
ซึ่งการกระทําเช่นนี้เป็นการแสดงถึงความเจริญก้าวหน้าหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน
โดยเปรียบเทียบจาก ผลการสอบก่อนเรียนกับผลการสอบหลังจากที่เรียนไปแล้ว
4. การพยากรณ์ (Prediction) เป็นการวัดหรือประเมินผลเพื่อช่วยในการพยากรณ์ทํานายหรือ
คาดการณ์และแนะนําว่าผู้เรียนคนนั้นๆ ควรจะเรียนอย่างไร
จึงจะประสบความสําเร็จและสอดคล้องกับ ความสามารถ
ความถนัดหรือความสนใจของแต่ละบุคคล
ในทางจิตวิทยาการศึกษานั้นเชื่อกันว่าคนเราทุกคน มีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน
ดังนั้น หากสามารถจัดการศึกษา หรือการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับ ความถนัด ความสนใจ
หรือความรู้ความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนได้ ก็จะทําให้การศึกษาหรือการเรียนรู้
ในเรื่องนั้นๆ ได้รวดเร็วและประสบความสําเร็จในการเรียนได้เป็นอย่างดี
5. การป้อนผลย้อนกลับ (Feedback) เป็นการวัดและการประเมินผลเพื่อนําผลประเมินที่ได้ไปใช้ใน
การปรับปรุง การจัดการเรียนการสอนในครั้งต่อๆ ไป
ผลย้อนกลับนี้มีได้ทั้งส่วนที่เป็นของผู้สอนและส่วนที่ เป็นของผู้เรียน
ในส่วนของผู้สอนเมื่อการจัดการเรียนการสอนผ่านไปแต่ละบทเรียนหรือเมื่อจบการเรียนการ
สอนแล้ว ผู้สอนควรมีการวัดและประเมินผลเพื่อดูว่าเทคนิค วิธีการสอน
สื่อการเรียนการสอน เนื้อหาหรือ
กิจกรรมที่จัดให้กับผู้เรียนนั้นเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์หรือไม่ อย่างไร
มีส่วนใดบ้างที่จําเป็นต้อง ปรับปรุงแก้ไขส่วนใดบ้างที่ดีอยู่แล้ว
สําหรับในส่วนของผู้เรียนนั้น เมื่อมีการวัดและการประเมินผลแล้ว
ผู้เรียนก็จะได้รับรายงานผลของตนเอง ทําให้ทราบว่าตนเองนั้นมีความรู้ระดับใด
และมีเรื่องใดบ้างที่เรียนรู้ แล้วเข้าใจชัดเจน
เรื่องใดบ้างที่ยังต้องการศึกษาเพิ่มเติมอีก
ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้เรียนในการศึกษา ขั้นสูงต่อๆ ไป
6. การเรียนรู้ (Learning
Experience) เป็นการวัดและการประเมินผลที่มีจุดประสงค์เพื่อเป็นตัวกระตุ้น
ในรูปแบบต่างๆ
ที่ทําให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีแล้วยังทําให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ดีของผู้เรียนอีกด้วย
เนื่องจาก ในกรณีที่มีการสอบเพื่อวัดและประเมินผลนี้
ก่อนสอบผู้เรียนจะต้องมีการเตรียมตัวสอบจะต้องมีการทบทวนเนื้อหาวิชาที่เรียนศึกษาค้นคว้า
ทําความเข้าใจให้ถ่องแท้จึงทําให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มขึ้น และถูกต้องชัดเจน
และเมื่อผู้เรียนเข้าทําข้อสอบ โดยที่ข้อสอบที่ใช้นั้นจะเป็นสภาพการณ์ที่สร้างขึ้น
เพื่อให้ผู้เรียนตอบแบบที่ ต้องใช้ความคิดในหลายๆ แง่มุม เช่น คิดแก้ปัญหา
คิดคํานวณ คิคหาสรุป เป็นต้น ซึ่งการคิดเหล่านี้เป็น
กระบวนการที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีและมีประสิทธิภาพ
การวัดและการประเมินผลนอกจากจะมีจุดประสงค์ดังกล่าวแล้ว
บลูม (Bloom, 1971, p.56) ได้เสนอ
เกี่ยวกับจุดประสงค์ที่จะทําการวัดและการประเมินผลโดยเน้นที่จุดประสงค์หรือพฤติกรรมที่ต้องการวัดได้
ไว้ดังนี้
1. วัดทางปัญญาหรือพุทธิพิสัย
(Cognitive Domain)
2. วัดทางความรู้สึกนึกคิดหรือจิตพิสัย
(Affective Domain)
3. วัดความสามารถในการใช้อวัยวะต่างๆ
หรือทักษะพิสัย (Psychomotor Domain)
เครื่องมือและเทคนิควิธีที่ใช้ในการวัดและการประเมินผล
เครื่องมือและเทคนิควิธีที่ใช้ในการวัดและการประเมินผลการเรียนการสอนนั้นมีมากมายหลาย
ชนิด แต่ที่รู้จักและนิยมใช้กันเป็นส่วนมาก ได้แก่
1. การสังเกต เป็นการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของผู้สังเกต
สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนใน
สภาพการณ์ที่เป็นจริงทั้งในและนอกห้องเรียนการสังเกตโดยทั่วๆ
ไปเป็นการเฝ้าดูพฤติกรรมต่าง ๆ ของผู้ถูก สังเกต
ซึ่งอาจจะเฝ้าดูไปตามเรื่องไม่ได้กําหนดหรือวางแผนว่าจะสังเกตอะไร อย่างไร
สังเกตอะไรก่อน-หลัง
เมื่อมีพฤติกรรมอะไรเกิดขึ้นก็สังเกตและจดบันทึกไว้ทั้งหมดหรืออาจจะเฝ้าดูอย่างมีแผนการ
กําหนดไว้ แน่นอนว่าจะสังเกตอะไรบ้างและสังเกตอย่างไร ตัวอย่างเช่น
ต้องการจะวัดว่าผู้เรียนคนใดคนหนึ่งมี พฤติกรรมก้าวร้าวอย่างไรบ้าง
อาจกําหนดแผนงานในการสังเกตเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อคอยสังเกต
พฤติกรรมก้าวร้าวของผู้เรียนคนนั้นว่าแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวอะไรออกมาบ้าง
และมีการแสดงออกอย่างไร พร้อมทั้งจดบันทึกผลไว้แล้วนํามาประเมินผลในภายหลัง
เป็นต้น การสังเกตทั้งสองวิธีนี้มีทั้งข้อดีและ ข้อบกพร่องแตกต่างกัน คือ การสังเกตอย่างไม่มีแผนล่วงหน้า
อาจจะเสียเวลาน้อย แต่จะได้พฤติกรรมที่ เกิดขึ้นอย่างมาก
โดยที่บางพฤติกรรมอาจไม่ตรงกับที่ต้องการจะสังเกตก็ได้ ส่วนการสังเกตอย่างมีแผนการ
จะเสียเวลาเฝ้าคอยพฤติกรรมนั้นๆ นาน แต่จะได้เฉพาะพฤติกรรมที่ต้องการสังเกตจริง ๆ
เท่านั้น
2. การสัมภาษณ์ เป็นการพูดคุยซักถามกันระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนมีการซักถามโต้ตอบซึ่งกัน
และกัน การสัมภาษณ์ อาจทําได้สองแบบเช่นเดียวกัน คือ
แบบไม่มีแบบแผนและแบบมีแผนโดยเฉพาะแบบ มีแผนนั้น
จะกระทําเพื่อหาข้อมูลบางอย่างโดยมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน มีแนวการสัมภาษณ์และกําหนดเป็น
คําถามไว้ล่วงหน้า ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย
โดยจะใช้การถามเพื่อล้วงหาคําตอบแบบหยั่งลึกก็ได้ การสัมภาษณ์วิธี
นี้จะมีการบันทึกผลการสัมภาษณ์และการตั้งเกณฑ์สําหรับคนที่จะผ่านการสัมภาษณ์ด้วย
การวัดและการ
ประเมินผลโดยใช้การสัมภาษณ์นี้มีข้อดีตรงที่ผู้สัมภาษณ์จะได้ผลจากการสัมภาษณ์ที่เป็นข้อมูลสภาพจริง
ของผู้ตอบ
ได้ทราบความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมของผู้ถูกสัมภาษณ์ได้อย่างใกล้ชิดแต่อาจต้องใช้เวลามาก
3. การให้ปฏิบัติ เป็นการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติให้ดูว่าสามารถทําได้ตามที่เรียนรู้หรือไม่
เช่น การสอนเขียนแบบ เมื่อผู้สอนสอนหลักการไปแล้วก็ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติเขียนแบบตามหลักการที่สอนมา
ให้ดู เป็นต้น การวัดโดยให้ปฏิบัติและประเมินผลจากผลการปฏิบัตินั้นๆ
ถือเป็นวิธีการวัดและประเมินผลที่ดี อีกวิธีหนึ่งในบางสาขาวิชา
โดยเฉพาะสาขาวิชาที่เกี่ยวกับการสอนทักษะต่างๆ
4. การศึกษากรณี เป็นเทคนิคการศึกษาแก้ปัญหา
หรือปรากฏการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งโดย ละเอียดลึกซึ่งเป็นรายๆ ไป เช่น
การค้นหาสาเหตุของผู้เรียนที่มาโรงเรียนสายเป็นประจําหรือผู้เรียนที่ไม่
ตั้งใจเรียนและชอบหนีโรงเรียน เป็นต้น
ในการศึกษาจะใช้เทคนิคและเครื่องมือหลายชนิดมารวบรวมข้อมูล ในเรื่องต่างๆ
ที่ศึกษาและบันทึกผลไว้ แล้วนํามาวิเคราะห์
สรุปหาสาเหตุของปัญหาหรือประเด็นที่ต้องการ ศึกษาอย่างแท้จริง
5. การให้จิตนาการ เป็นเครื่องมือวัดทางจิตวิทยาที่สร้างขึ้นเพื่อล้วงความรู้สึกนึกคิดของผู้ถูกวัด
ออกมาอย่างไม่ให้เจ้าตัวรู้สึกและให้เจ้าตัวเห็นว่าเป็นความรู้สึกหรือปฏิกิริยาของคนอื่น
การวัดและการ ประเมินผลด้วยวิธีนี้มักใช้วัดทางด้านบุคลิกภาพ เช่น เจตคติ ความสนใจ
อารมณ์ ค่านิยม นิสัยและอุปนิสัย เป็นต้น การให้จินตนาการมีหลายแบบ เช่น
แบบเติมประโยคให้สมบูรณ์ แบบให้แสดงออกหรืออธิบายภาพ ที่เลือนลาง แบบเรียงลําดับ
เป็นต้น การให้จินตนาการนี้เหมาะสําหรับผู้ที่มีปัญหาในการพูด หรือลําบากใจ
ในการโต้ตอบซักถามได้เป็นอย่างดี
เพราะจะทําให้ได้การวัดและการประเมินผลที่ถูกต้องหรือใกล้เคียงความ จริงมากที่สุด
6. การใช้แบบสอบถาม เป็นวิธีที่จะต้องมีแบบสอบถามเป็นชุดของคําถามที่ถูกจัดเรียงไว้อย่าง
เป็นระบบระเบียบ พร้อมที่จะส่งให้ผู้ตอบอ่านและตอบด้วยตนเอง
คําถามที่ใช้จะเป็นคําถามที่ใช้ถาม ข้อเท็จจริงและความคิดเห็นต่างๆ
เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คําถามใน แบบสอบถามนี้อาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ แบบคําถามเปิด
ผู้ตอบต้องหาคําตอบมาใส่เองและแบบคําถามปิดผู้ตอบเลือกตอบจากคําตอบที่ กําหนดให้
การประเมินผลตามระบบการวัดผล
ในกระบวนการเรียนการสอนนั้น
จะต้องมีการวัดและการประเมินผลเพื่อเป็นตัวบ่งชี้ถึงสัมฤทธิผล
ในการเรียนรู้ของผู้เรียนและประสิทธิภาพของผู้สอน
ดังนั้นเมื่อมีการวัดผลด้วยเครื่องมือเทคนิควิธีใดๆ แล้ว
จะต้องนําผลที่ได้จากการวัดนั้นมาประเมินผลด้วยระบบการวัดผลมาตรฐานซึ่งได้แก่
1. การประเมินผลแบบผลแบบอิงกลุ่ม เป็นการประเมินผลเพื่อเปรียบเทียบผลงานหรือคะแนน
ของผู้เรียนแต่ละคนกับผู้เรียนคนอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน
โดยใช้งานหรือแบบทดสอบชนิดเดียวกันหรือฉบับ
เดียวกัน
จุดมุ่งหมายหลักของการประเมินผลแบบนี้เพื่อต้องการจําแนกหรือจัดลําดับบุคคลในกลุ่มนั้นๆ
ตาม ความสามารถตั้งแต่สูงสุดจนถึงต่ําสุด โดยยึดระดับผลสัมฤทธิ์ เช่น
การสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อใน สถานศึกษา
จะมีการแปลคะแนนของผู้สอบออกมาในรูปของคะแนนมาตรฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะ
เป็นการจัดคะแนนในรูปของเปอร์เซนไทล์ หรือ เคไซค์ก็ได้
แบบทดสอบสําหรับการประเมินผลประเภทนี้ ควรมีความยากง่ายพอเหมาะ
คือไม่ยากหรือง่ายจนเกินไป ค่าที่พอเหมาะคือค่าความยากง่ายที่ 50 % ค่า
อํานาจจําแนกสูง
ดังนั้นการได้คะแนนสูงหรือต่ําของผู้เรียนจะถือว่าเป็นเพราะความแตกต่างของตัวผู้เรียน
เอง และความเป็นมาตรฐานของข้อสอบที่สามารถแยกให้เห็นถึงความแตกต่างของคะแนนได้ การ
ประเมินผลแบบอิงกลุ่มนี้จะบอกได้แต่เพียงว่า ผู้เรียนคนหนึ่งสามารถทําได้ถูกต้องกว่าคนอื่นๆ
อยู่กี่คน เท่านั้นโดยไม่สามารถบอกได้ว่าผู้เรียนทําแบบทดสอบได้ถูกต้องทุกข้อ
หรือถูกต้อง 70% หรือ 30%
2. การประเมินแบบอิงเกณฑ์ เป็นการประเมินผลเพื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กําหนดขึ้น
เพื่อดูว่า งานหรือการสอบของผู้เรียนผ่านเกณฑ์ที่กําหนดไว้หรือไม่เพียงใด
โดยไม่คํานึงถึงอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ตัวอย่างเช่น
การสอบวิชาหลักการสอนให้ผ่าน จะต้องได้เกรดไม่ต่ํากว่า 2 หรือ C. คนที่สอบได้เท่ากับหรือ มากกว่า 2 หรือ C. ถึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์ เป็นต้น
การประเมินผลตามสภาพจริง
การปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทยในปัจจุบัน
มีจุดเด่นประการหนึ่งที่นอกเหนือจากการเรียน การสอน ที่ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Centered) คือ
การประเมินผลตามสภาพจริง (Authentic Assessment) หรือเน้นการวัดผลให้ตรงกับสภาพจริงของการเรียนการสอน
แล้วนําผลการวัดเหล่านั้นมา ประเมินว่าบรรลุผลการเรียนรู้มากน้อยเพียงไร
การเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนั้น จะเน้นให้ ผู้เรียนเป็นผู้กระทํา (Learning
by doing) มิใช่เกิดจากการเรียนการสอนแบบเก่า คือ
ผู้เรียนฟังครูผู้สอนแต่ เพียงอย่างเดียว ซึ่งการเรียนในลักษณะนี้
จะวัดผลเพียงแค่ผู้เรียนฟังแล้วรู้เรื่องที่ครูสอนมากน้อยเท่าไร ใคร
จําเรื่องราวที่ครูบรรยายได้มาก ก็ประเมินว่าเรียนเก่ง
ใครจําเรื่องราวได้น้อยจากครูก็เป็นผู้เรียนอ่อนหรือ สมควรตก แล้วเรียนใหม่
เป็นต้น
ในปัจจุบันการวัดผลมิใช่เพียงแค่การทดสอบ
หรือการสอบอย่างเดียวแต่ยังต้องประเมินจากสภาพ แท้จริงของผู้เรียน ดังนั้น
การประเมินผลตามสภาพจริง จึงหมายถึง กระบวนการสังเกต การบันทึกและ
รวบรวมข้อมูลจากผลงานและวิธีการที่ผู้เรียนกระทํา
เพื่อเป็นพื้นฐานสําหรับการตัดสินใจในการศึกษาถึง ผลกระทบต่อผู้เรียนเหล่านั้น
การประเมินผลตามสภาพจริงจะไม่เน้นเฉพาะการประเมินทักษะพื้นฐาน แต่
จะเน้นการประเมินทักษะการคิดที่ซับซ้อนในการทํางานของผู้เรียนประเมินความสามารถในการแก้ปัญหา
และการแสดงออกที่เกิดจากการปฏิบัติงานตามสภาพจริง นอกจากนั้น
ยังเน้นการประเมินพัฒนาการเรียนรู้
ของผู้เรียนที่เกิดจากการให้ผู้เรียนเป็นผู้ค้นพบข้อความรู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
พัฒนาการสอนของครู อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
ลักษณะของการประเมินผลตามสภาพจริง
ลักษณะสําคัญของการประเมินผลตามสภาพจริง
มีอยู่ด้วยกัน 4 ประการดังนี้ คือ
1. ประเมินในสิ่งที่เป็นภาคปฏิบัติจริง หรือกระทําจริงได้ เช่น
ผู้เรียนต้องทําการทดลอง วิทยาศาสตร์ได้จริงๆ
ไม่ใช่ทดลองหรือแก้ปัญหาโดยการเขียนบรรยาย หรือจําถึงหลักของวิทยาศาสตร์ โดย
ไม่เคยทดลองเลย หรือเด็กที่จะเป็นผู้ได้เกรด A วิชาสุขศึกษา
จะต้องเป็นผู้รู้จักรักษาอนามัยตนเองได้ดี ร่างกาย แข็งแรง ไม่ใช่เด็กที่ตอบคะแนนจากวิชานี้ได้สูง
แต่ไม่รู้จักดูแลสุขภาพ ขี้โรคและแต่งตัวสกปรก เป็นต้น
2. กําหนดเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินไว้ให้ชัดเจน โดยยึดหลักของการแสดงออกหรือปฏิบัติเป็น
สําคัญ เพื่อการเข้าใจกันระหว่างผู้เรียนและครู
3. การประเมินตามสภาพจริง จะต้องทําให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถของตนเองได้อย่าง
เต็มที่ เด็กสามารถจะปรับปรุง
หรือขยายผลงานของตนให้เข้าใกล้กับสิ่งที่เป็นเกณฑ์กําหนดไว้ ตามความสามารถของตนเอง
4. การประเมินตามสภาพจริง
จะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาในการแสดงออกอย่างเต็มที่ ในสิ่งที่เขา สนใจและต้องการ
จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งในสภาพแวดล้อม ชุมชน ที่เขาอยู่อาศัย การเรียนใน
ลักษณะนี้ จะทําให้ผู้เรียนมีความสุขต่อการเรียนรู้ในโรงเรียน
ดีกว่าการบังคับเรียนโดยครูหรือหลักสูตรที่
คับแคบไม่ตอบสนองและคํานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลแต่อย่างไร
จากลักษณะสําคัญของการประเมินผลตามสภาพจริง 4 ประการนี้
จะเห็นว่าแนวการประเมินตาม สภาพจริงมุ่งที่จะวัดการแสดงออกใดๆ
ของผู้เรียนอย่างใกล้ชิดและในกิจกรรมทุกกิจกรรมทุกอย่างหน้าที่
ของครูจะเป็นไปในลักษณะติดตามผลพร้อมกับช่วยเหลือ เสนอแนะ
เปรียบเสมือนจะเป็นผู้ฝึก (Coach) แล้วผู้เรียนเป็นผู้แสดงหรือผู้เล่น
ถ้าสร้างความเข้าใจในลักษณะนี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกพัฒนาตนเองเต็มที่
และเรียนอย่างมีความสุขที่ตนสนใจและต้องการ
แนวการเรียนการสอนในลักษณะเด็กเป็นผู้แสดงนี้
ครูจะต้องมีการติดตามและมีการวัดทุกพฤติกรรมของผู้เรียนที่เกิดขึ้นเพื่อจะได้นําเอาผลการวัดเหล่านั้นมา
ประเมินผู้เรียนได้ถูกต้องแม่นยํา และเป็นไปตามสภาพจริงๆ
ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเรียนการสอน
แนวทางในการวัดการประเมินตามสภาพจริง
เพื่อให้เห็นแนวทางของการวัดการประเมินตามสภาพจริง
จึงกล่าวสรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
1. การวัดผลจะต้องใช้หลายๆ
วิธีในการวัด เพื่อจะได้ประเมินผู้เรียนได้ครอบคลุม
เช่นการวัด แบบสังเกต การสัมภาษณ์ แบบสอบถาม การใช้สังคมมิติ การวัดจินตภาพ
การวัดภาคปฏิบัติ และการวัด โดยใช้ข้อสอบ เป็นต้น
2. จะต้องมีการจัดทําแฟ้มสะสมงาน (Portfolio) ซึ่งจะเป็นที่รวบรวมผลงานต่างๆ
ของผู้เรียนคน หนึ่งๆ อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน
มาเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการประเมินปลายภาคหรือปลายปี
3. การวัดผลต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระดับชั้นต่างๆ
ในตัวผู้เรียนแต่ละคน จะต้องตอบให้ได้ว่าบรรลุ เป้าหมายมากน้อยเพียงไร
3.1 เป้าหมายระดับชาติ
(เป้าหมายสูงสุดหรือปรัชญา)
3.2 เป้าหมายระดับท้องถิ่น
(เป้าหมายหลักสูตร)
3.3 เป้าหมายของตนเอง
(ผู้เรียน) (เป้าหมายตอบสนองบุคคล)
4. แนวทางในการวัด
เน้นการวัดที่ควบคู่ไปกับการเรียนการสอนหรือการวัดมุ่งจะปรับปรุง พัฒนาผู้เรียน (Formative
Evaluation) ส่วนการวัดที่เน้นโดยภาพรวมหรือสรุป (Summative
Evaluation) จะทําในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
แต่ในส่วนครูผู้สอนจะต้องเน้นการวัดผลควบคู่ไปกับการเรียนการสอน
เพราะเมื่อไรเห็นผู้เรียนอ่อนในเนื้อหาใด
หรือประสบการณ์ใดเป็นหน้าที่ของครูจะต้องช่วยพัฒนาและซ่อม
เสริมได้ตรงจุดและจะต้องทําอยู่ตลอดเวลา การวัดและประเมินตามแนวนี้
จะช่วยสร้างความอบอุ่นต่อการ เรียนการสอนเด็กจะมีความสุข
การวัดผลแบบแนวเดิมๆและใช้ข้อสอบอย่างเดียวเป็นหลัก จะสร้างความ
หวาดวิตกกังวลให้แก่ผู้เรียน
และผู้เรียนจะไม่มีความสุขแต่อย่างไรการเรียนการสอนก็กลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ
ไม่น่าสนใจ
เครื่องมือการประเมินผลตามสภาพจริง
การประเมินผลตามสภาพจริงที่มีการบูรณาการกิจกรรมการเรียนการสอนกับแผนการประเมินนั้น
ครูจะประเมินโดยเน้น “ap” คือการแสดงออก (performance) กระบวนการ (process) ผลผลิต (Products) และแฟ้มสะสมงาน (Portfolios) โดยการประเมินควบคู่กันดังนี้ (นวรัตน์ สมนาม, 2546. หน้า 193 - 195)
1. การประเมินการแสดงออก (Performance)
การประเมินการแสดงออก ครูสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนเมื่อครูอยู่ท่ามกลางกลุ่มนักเรียน
โดยครูเล่านิทาน หรือนักเรียนทํางาน และกิจกรรมต่างๆ
ครูจะสังเกตสีหน้าท่าทางการพูดโต้ตอบ การ แสดงออกที่สนุกสนานเพลิดเพลิน
รวมทั้งแสดงออกในการพูดโต้ตอบพัฒนาการทางด้านภาษา ความเข้าใจ เรื่องราวในเรื่องที่เรียน
เป็นต้น สําหรับการประเมินกระบวนการ (process) ซึ่งจะต้องสังเกตควบคู่กับการ แสดงออก
โดยครูสังเกตการเคลื่อนไหว กิริยาท่าทาง ความร่วมมือ ความคล่องแคล่ว ความอดทน
การใช้ อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ในระหว่างการเรียน การปฏิบัติงาน
รวมทั้งการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและผู้ใหญ่ เป็นต้น
2. การประเมินกระบวนการและผลผลิต
(Process and Products)
การประเมินผลผลิต
นักเรียนจะเป็นสื่อกลางให้ครูเข้าใจกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน
ข้อมูลที่สําคัญที่เกิดจากการสํารวจค้นคว้า ทดลอง และโครงงานต่างๆ
จุดเน้นของการประเมินสภาพจริงจะไม่พิจารณาเฉพาะผลผลิตเท่านั้น
แต่จะเน้นที่กระบวนการที่มีต่อผลผลิตด้วย ตัวอย่างการผลิต เช่น แผนงาน โครงงาน
รายชื่อหนังสือที่อ่าน ผลการสาธิต การจัดนิทรรศการ แผนภาพ แผนภูมิ เกมต่างๆ
โครงงานกลุ่ม เป็นต้น
การประเมินแฟ้มสะสมงาน (Portfolio Assessment)
เป็นวิธีการประเมินที่เน้นประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง
ในการประเมินการแสดงออก กระบวนการและ ผลผลิต หมายถึง
การประเมินความสําเร็จของนักเรียนจากผลงานที่เป็นชิ้นงานที่ดีที่สุด
หรือผลงานที่แสดง ถึงความสนใจ ความสามารถ ทักษะ เจตคติ
และพัฒนาการของนักเรียนที่ได้เรียนรู้มาช่วงระยะหนึ่ง ซึ่ง
แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เขาประสบความสําเร็จ
เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสามารถนําไปใช้ในการประเมินผลเพื่อพัฒนาผู้เรียน
จึงควรทําความ รู้จักกับแฟ้มสะสมงานในรายละเอียด ดังนี้
3.1 ความหมายของแฟ้มสะสมงาน
แฟ้มสะสมงาน หมายถึง
สิ่งที่เก็บรวบรวมผลงานหรือตัวอย่างของผลงานหรือหลักฐานที่ แสคงถึงผลสัมฤทธิ์
ความสามารถ ความพยายาม หรือความถนัดของบุคคลหรือประเด็นสําคัญที่ต้องจัดเก็บ
ไว้อย่างเป็นระบบ
3.2 ลักษณะเด่นของการประเมินโดยแฟ้มสะสมงาน
การประเมินโดยแฟ้มสะสมงาน มีลักษณะเด่นที่สําคัญดังต่อไปนี้
3.2.1 เพิ่มแรงจูงใจในการเรียนของนักเรียน
3.2.2 พัฒนาทักษะทางวิชาการระดับสูงแก่นักเรียน
3.2.3 พัฒนาทักษะการทํางานเป็นทีมเพื่อให้งานสําเร็จ
3.2.4 เป็นการปรับเปลี่ยนการเรียนรู้จากนามธรรมไปสู่รูปธรรม
3.2.5 แสดงพัฒนาการของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง และนักเรียนได้ปรับปรุงงานตลอดเวลา
3.2.6 วัดความสามารถของนักเรียนได้หลายด้าน
3.2.7 เป็นกิจกรรมที่สอดแทรกอยู่ในสภาพการเรียนประจําวันที่มีประโยชน์ต่อนักเรียน
ในสภาพชีวิตจริง
3.2.8 นักเรียนมีความตระหนักในกระบวนการและยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมในการเรียน
การแก้ปัญหา การวิเคราะห์ข้อมูล หรือการเก็บรวบรวมข้อมูล
ในการสอนปกติถ้าไม่สอนเรื่องเหล่านี้โดยตรง แล้ว นักเรียนจะมีโอกาสเรียนรู้เรื่องนี้ได้น้อยมาก
3.2.9 นักเรียนได้มีโอกาสในการแสดง สร้างสรรค์ ผลิตหรือทํางานด้วยตนเอง
3.3 ประเภทของแฟ้มสะสมงาน
แฟ้มสะสมงาน สามารถรวบรวมเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 4 ประเภท ดังนี้
3.3.1 แฟ้มสะสมงานส่วนบุคคล เป็นแฟ้มที่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับตัวเจ้าของแฟ้ม เช่น
ความสามารถพิเศษ กีฬา งานอดิเรก สัตว์เลี้ยง การท่องเที่ยว และการร่วมกิจกรรมชุมชน
เป็นต้น
3.3.2 แฟ้มสะสมงานวิชาชีพ เป็นแฟ้มที่แสดงผลงานเกี่ยวกับอาชีพ เช่น แฟ้มสะสมงาน
เพื่อใช้ในการสมัครงาน แฟ้มสะสมงานเพื่อเสนอขอเลื่อนระดับ เป็นต้น
3.3.3 แฟ้มสะสมงานวิชาการ หรือแฟ้มที่แสดงผลงานเกี่ยวกับอาชีพ เช่น แฟ้มสะสมงาน
เพื่อใช้ในการสมัครงาน แฟ้มสะสมงานเพื่อใช้ประเมินผลการผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้
แฟ้มสะสมงานเพื่อ ใช้ประกอบการประเมินผลปลายภาคและปลายปี เป็นต้น
3.3.4 แฟ้มสะสมงานสําหรับโครงการ มีลักษณะคล้ายภาพยนตร์ สารคดีโดยเป็นแฟ้มที่
แสดงถึงความพยายามหรือขั้นตอนการทํางานในโครงการหนึ่งๆ หรือในการศึกษาส่วนบุคคล
เช่น แฟ้ม โครงการอาหารกลางวันในแฟ้มจะประกอบด้วยเอกสาร โครงการ
หลักฐานที่แสดงถึงร่องรอยของการ ปฏิบัติงานและผลงาน เป็นต้น
3.4 องค์ประกอบของแฟ้มสะสมงาน
แฟ้มสะสมงานเป็นการเก็บรวบรวมผลงานที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของผู้เรียนมี
องค์ประกอบสําคัญของแฟ้มสะสมงานไว้ดังนี้
3.4.1 จุดมุ่งหมาย
กําหนดขึ้นเพื่อใช้ตัดสินว่าแฟ้มสะสมงานจะใช้อธิบายหรือจัดอะไร
จุดมุ่งหมายเป็นกิจกรรมแรกที่สําคัญในการจัดทําแฟ้มสะสมงาน
จุดมุ่งหมายที่ชัดเจนช่วยป้องกันไม่ให้ นักเรียนทํางานมากเกินความจําเป็น
แฟ้มสะสมงานมีความหมายมากกว่าการรวบรวมกระดาษบรรจุลงแฟ้ม
หรือรวบรวมความจําเขียนลงในสมุด แต่หลักฐานแต่ละชิ้นในแฟ้มสะสมงานจะต้องสร้างสรรค์
และ จัดระบบความที่แสดงให้เห็นถึงความชํานาญ หรือความก้าวหน้าตามจุดประสงค์
จุดมุ่งหมายที่ชัดเจนช่วย ให้นักเรียนเข้าใจ
และสามารถเชื่อมจุดหมายเหล่านี้เข้ากับการสอนในแต่ละวันของครู
3.4.2 หลักฐานหรือชิ้นงาน ประกอบด้วยหลักฐานและแนวทางต่างๆ
ที่นักเรียนเลือกเพื่อ แสดงให้เห็นถึงความสําเร็จในการบรรลุจุดประสงค์ การสร้าง
การรวบรวมเอกสาร
3.4.2.1 เอกสารประเภทการบ้าน แบบฝึกหัด รายงานของนักเรียนที่เกิดขึ้นระหว่าง
การทํางานวิชาการในห้องเรียน
3.4.2.2 เอกสารที่แสดงถึงงานที่นักเรียนทํานอกห้องเรียน เช่น โครงการพิเศษ การ
สัมภาษณ์
3.4.2.3 เอกสารที่ครูและคนอื่นๆ ใช้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางวิชาการของ
นักเรียน เช่น บันทึกการสังเกตที่ครูบันทึกระหว่างที่นักเรียนนําเสนอหน้าชั้น
ใช้เป็นหลักฐานแสดง ความก้าวหน้าในการเรียนเกี่ยวกับการพูดหน้าชั้น
บันทึกของผู้เรียน เพื่อนนักเรียน ผู้ปกครอง การสอนใน ลักษณะต่างๆ
3.4.2.4 เอกสารที่นักเรียนเตรียมขึ้นเฉพาะบรรจุลงในแฟ้มผลงาน ซึ่งประกอบด้วย
จุดมุ่งหมาย ข้อความที่สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถตามจุดมุ่งหมายและหัวข้อ
3.4.3 การประเมินตนเอง
เป็นการให้นักเรียนประเมินแฟ้มสะสมงานของตนเองว่า
เป็นไปตามจุดประสงค์ที่วางไว้หรือไม่ ด้วยกระบวนการต่อไปนี้
3.4.3.1 กําหนดองค์ประกอบและเกณฑ์ในการตรวจสอบผลงานโดยครู
และนักเรียน ร่วมกันกําหนดเกณฑ์ อาจอยู่ในรูปของดัชนี คะแนน
หรือคุณลักษณะที่สามารถให้ข้อมูลป้อนกลับแก่ นักเรียนได้
3.4.3.2 สร้างเครื่องมือเพื่อให้การตรวจสอบผลงานตามองค์ประกอบ
เช่น
แบบสํารวจ รายการ บันทึกรายการเรียนรู้ เป็นต้น
3.4.4 เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือความรู้สึกต่อชิ้นงาน
แต่ละชิ้นที่บรรจุในแฟ้ม สะสม
งาน รวมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์ และการให้คะแนนชิ้นงาน
ซึ่งทําให้แฟ้มสะสมงานมีชีวิต ชีวา และช่วย ให้นักเรียนพิจารณาการเรียนรู้ของตนเอง
ซึ่งเป็นการใช้ความคิดในขั้นสูง
3.4.5 การประเมินแฟ้มสะสมงาน
เป็นการประเมินความพอดีระหว่างความสามารถที่ แท้จริงของผู้เรียนกับศักยภาพของผู้เรียน
3.5 ประโยชน์ของแฟ้มสะสมงาน
แฟ้มสะสมงานมีประโยชน์ในการแสดงผลงานของผู้เรียนที่สอดคล้องกับความสามารถที่
แท้จริง แฟ้มสะสมงานมีประโยชน์ต่อผู้สอน ดังนี้
3.5.1 ใช้ประเมินความก้าวหน้าในการเรียนของผู้เรียนเป็นรายบุคคล
3.5.2 ทําหน้าที่ในการสะท้อนความสามารถรวมออกมาเป็นผลงานชิ้นสุดท้าย
และทำ
หน้าที่ในการสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการทํางานของนักเรียนได้ทุกขั้นตอน
3.5.3 แฟ้มสะสมงานจะทําให้ครูสามารถหาจุดเด่นของนักเรียนได้มากกว่าจุดด้อย
และ
นักเรียนสามารถเลือกตัดสินใจว่าชิ้นงานที่ดีที่สุดของตนในการประเมิน
ดังนั้นนักเรียนมีความสุขในการทํา แฟ้มสะสมงานของตนมากกว่า
3.5.4 ทําหน้าที่สําคัญในการแจ้งผลสําเร็จของนักเรียนให้บุคคลที่เกี่ยวข้องทราบ
รวมทั้ง
สามารถนําไปใช้ในการอภิปรายความก้าวหน้าของนักเรียนกับผู้ปกครองได้การประเมินจากแฟ้มสะสมงานก็
มีลักษณะเปิดเผยตรงไปตรงมา ซึ่งต่างจากการใช้แบบทดสอบที่ครูต้องปกปิดเป็นความลับอยู่เสมอ
3.5.5 การเก็บสะสมงาน
งานทุกชิ้นที่พิจารณาคัดเลือกไว้ต้องเขียน ชื่อ วัน เดือน ปี แปะติด
ไว้ให้สามารถประเมินความเจริญงอกงามหรือพัฒนาการของนักเรียน
3.6 กระบวนการทําแฟ้มสะสมงาน
แฟ้มสะสมงาน จะเป็นแฟ้มสะสมงานที่สมบูรณ์
มีค่าเมื่อมีการจัดกระทําอย่างเป็นระบบ หรือเป็นกระบวนการต่อเนื่องกัน
ในการทําแฟ้มสะสมงานมีกระบวนการที่จําเป็น 10 ขั้นตอน
3.6.1 ขั้นกําหนดวัตถุประสงค์และประเภทของแฟ้มสะสมงาน
การกําหนดวัตถุประสงค์
และประเภทของแฟ้มสะสมงานจะเป็นตัวตอบคําถามว่าทําไมจึงต้องนํานักเรียนมาเกี่ยวข้องกับการรวบรวม
งานที่เขาสร้างขึ้น แฟ้มสะสมงานจะถูกนําไปใช้อย่างไร
มีจุดประสงค์ที่แท้จริงอย่างไร การประเมินผลใช้ วิธีการใด
ซึ่งในการกําหนดจุดประสงค์ของแฟ้มสะสมงานต้องยึดหลักแห่งความรู้ กระบวนการเรียนรู้
และ ความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยให้ผู้เรียนได้ทํากิจกรรม
และประเมินตนเองได้ตลอดระยะเวลาที่กําหนด
เป็นการช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิตสามารถสะท้อนความสามารถในการคิด
และนักเรียนยังสามารถ กํากับดูแล และชื่นชมความก้าวหน้ากับพัฒนาการของตนเอง
3.6.2 ขั้นรวบรวมชิ้นงานและจัดการชิ้นงาน
ในขั้นนี้ ครูจะต้องวางแผนร่วมกับนักเรียน ว่า
จะเก็บรวบรวมชิ้นงานอย่างไร
ออกแบบเครื่องมือและวิธีการที่จะช่วยให้นักเรียนได้จัดระบบกับชิ้นงาน ของเขา
ชิ้นงานมี 2 ชนิด คือ งานแกนที่ทุกคนต้องทํา
ครูอาจจะต้องมีแนวทางให้และเลือกงานที่นักเรียน สามรถใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ตามความสนใจ
3.6.3 ขั้นเลือกชิ้นงานการรวบรวมชิ้นงานจะมีจํานวนมากพอที่จะนํามาพิจารณาคัดเลือก
ชิ้นงานเพื่อลดจํานวนชิ้นงานลง
เป็นการตัดสินใจเชิงวิชาการเกี่ยวกับเนื้อหาสาระของชิ้นงานของนักเรียน
จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ อาจมีหลักในการพิจารณาคัดเลือกชิ้นงาน ดังนี้ คือ
งานชิ้นใดควรเลือก อย่างไร ใครเป็นผู้เลือกหรือควรเลือกเมื่อใด
และเก็บชิ้นงานที่ดีที่สุดไว้ 2-5 ชิ้นต่อ 1 ภาคเรียน
3.6.4 ขั้นสร้างสรรค์ผลงาน
ในขั้นนี้เป็นการถ่ายทอดความสามารถในการสร้างสรรค์
ผลงานให้ประจักษ์ถึงความสามารถของผู้เรียนในการตกแต่ง
ประดิษฐ์แฟ้มงานทั้งมีความสวยงาม และมี ผลงานที่สะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิด
เก็บรวบรวมไว้อย่างเป็นระเบียบและสวยงาม ซึ่งสิ่งนี้จะแสดงความคิด
สร้างสรรค์และบุคลิกภาพของผู้เรียน
3.6.5 ขั้นการสะท้อนข้อมูลกลับ
เป็นการให้นักเรียนสะท้อนความรู้สึกนึกคิดหรือความ
คิดเห็นต่อชิ้นงานที่เลือกไว้ในแฟ้มสะสมงาน
ในกระบวนการสะท้อนข้อมูลกลับจะเกี่ยวข้องกับการทํางาน ตั้งแต่ขั้นการวางแผน
การติดตาม และการประเมินผลงาน วิธีการสะท้อนข้อมูลกลับเกี่ยวกับชิ้นงานโดยใช้
สัญลักษณ์ แสดงไว้ในชิ้นงานแต่ละขั้น หรือการให้คําวิพากษ์วิจารณ์
รวมทั้งอาจให้คะแนนไว้บนชิ้นงาน จะอธิบายถึงคุณค่าของชิ้นงานนั้นๆ
3.6.6 ขั้นการตรวจสอบความสามารถของตนเอง
ในขั้นนี้นักเรียนสามารถตรวจสอบแฟ้ม
สะสมงาน เพื่อประเมินตนเองและชิ้นงานของตนว่า
บรรลุเป้าหมายระยะยาวระยะสั้นมากน้อยเพียงใด
นักเรียนได้พบจุดอ่อนอะไรบ้าง
และงานในแฟ้มสะสมงานสามารถชี้ความก้าวหน้าในขอบข่ายเนื้อหาสาระ ในเป้าหมายหรือไม่
เพื่อทําให้เกิดความเชื่อมั่นในแนวทางการทํางานของตน
3.6.7 ขั้นการทํางานให้สมบูรณ์และประเมินค่าผลงาน
การทํางานให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อให้
พร้อมที่จะนําไปสู่การให้ระดับคะแนน ดังนั้น
การทําให้งานสมบูรณ์จะช่วยขัดเกลางาน ทําให้ผลผลิต ที่ได้สมบูรณ์ การให้คะแนนจะพิจารณาโดยเกณฑ์การให้คะแนนตามประเด็นการประเมิน
(Rubrics) ที่ กําหนดไว้ล่วงหน้าโดยครูและนักเรียน
การประเมินจะเน้นความก้าวหน้าในผลงานของนักเรียนแต่ละคน มากกว่าการเปรียบเทียบ
นักเรียนกับกลุ่ม
3.6.8 ขั้นการเชื่อมโยงและการปรึกษาหารือ
การประชุมสัมมนากับแฟ้มผลงานเพื่อเปิด
โอกาสให้นักเรียน ครู และผู้ปกครอง
ได้มีส่วนร่วมตัดสินใจถึงความสําคัญต่อการวัดผล ประเมินผล การ
ปฏิบัติจริงโดยใช้การประเมินแฟ้มสะสมงาน
3.6.9 ขั้นการทําให้ผลงานมีคุณค่าทันสมัย
การพิจารณานําชิ้นงานเข้าเก็บหรือดึงชิ้นงาน
ออก เพื่อทําให้ชิ้นงานและแฟ้มสะสมงานสมบูรณ์และทันสมัยเหมาะแก่การนําไปใช้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ
นักเรียนที่จะพิจารณาคุณภาพของชิ้นงานและแฟ้มสะสมงาน
3.6.10 ขั้นยอมรับคุณค่าที่สมบูรณ์
และนําเสนอผลงานด้วยความภาคภูมิใจการจัดเสนอ
แฟ้มผลงาน จะผนวกเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการของแฟ้มสะสมงาน เพื่อให้นักเรียนเตรียมจัดแสดง
นิทรรศการด้วยตนเอง แก่กลุ่มเป้าหมาย ผู้ปกครอง
โดยการกําหนดเวลาที่แน่นอนเป็นการยอมรับคุณค่าอัน
เป็นกระบวนการที่จะส่งเสริมกําลังใจ และความสําเร็จของงานอย่างมีระบบ
3.7 การประคุณภาพของแฟ้มสะสมงาน
การประเมินคุณภาพของแฟ้มสะสมงานต้องกําหนดเกณฑ์ที่ชัดเจนที่สะท้อนความสามารถ
ผู้เรียนได้
การจัดทําเกณฑ์ในการประเมินเริ่มจากการกําหนดนิยามของทักษะหรือสมรรถภาพที่จะวัด
แล้ว เลือกมาตราวัดว่าจะใช้เชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพ
หลังจากนั้นจึงจําเป็นต้องมีความชัดเจนว่าจะประเมินรวม หรีประเมินแยกเป็นรายชิ้น
แต่ละสมรรถภาพที่วัดจะมีตัวชี้วัดอะไรบ้าง ชิ้นงานแต่ละชิ้นมีน้ําหนักคะแนน เท่าไร
ผลการประเมินตนเองของผู้เรียน เพื่อน ครู ผู้ปกครอง และผู้สนใจ
จะให้คะแนนกําหนดมาตรฐาน คุณภาพของงาน อย่างไร
กล่าวโดยสรุป
แฟ้มสะสมงานเป็นทั้งเครื่องมือในการสอนของครู เป็นการประเมินผลที่ ตรงตามสภาพจริง
และยังเป็นการพัฒนาวิชาชีพครู การนําแฟ้มสะสมงานมาใช้จึงต้องเป็นระบบและจาก
การวิจัยของ คํารัส สีหะวีรชาติ (2542) พบว่า
การใช้แฟ้มสะสมงานในการพัฒนาการเรียนการสอน นักเรียน
ได้มีโอกาสในการแสดงความสามารถ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สนใจเรียน
นักเรียนมีความสุขในการเรียน
นักเรียนรู้จักรับผิดชอบในการประเมินและตรวจสอบตนเองมากขึ้น
ผู้ปกครองมีความพึงพอใจที่ได้เห็น
ผู้เรียนรู้จักรับผิดชอบในการประเมินและตรวจสอบตนเองมากขึ้น
ผู้ปกครองมีความพึงพอใจที่ได้เห็นผู้เรียน รู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ มีความภาคภูมิใจในการจัดทําแฟ้มสะสมงานของผู้เรียน
วิธีการประเมินผลตามสภาพจริง
การประเมินผลตามสภาพจริงจะเป็นการประเมินที่เป็นระบบ
เป็นกระบวนการใช้วิธีการประเมิน ได้หลายวิธี อาทิ
1. การสังเกต อาจจะมีหรือไม่มีเครื่องมือในการสังเกตก็ได้
ซึ่งสามารถทําได้ในทุกสถานการณ์
2. การสัมภาษณ์ โดยการตั้งคําถามอย่างง่ายๆ
ซึ่งสามารถสัมภาษณ์ได้ทั้งอย่างเป็นทางการและ ไม่เป็นทางการ
3. การบันทึกจากผู้เกี่ยวข้อง โดยการรวบรวมข้อมูลความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้เรียนจากผู้เกี่ยวข้อง
ทั้งทางด้านความรู้ ความสามารถ และการแสดงออกในลักษณะต่างๆ
4. แบบทดสอบวัดความสามารถจริง
(Authentic Test) โดยการสร้างคําถามเกี่ยวกับการนํา ความรู้ไปใช้
หรือการสร้างความรู้ใหม่ในสถานการณ์จําลองที่คล้ายคลึงกัน หรือเลียนแบบสภาพจริง
5. การรายงานตนเอง โดยการพูดหรือเขียนบรรยายความรู้สึกนึกคิด
ความเข้าใจ ความต้องการ วิธีการ และผลงานของผู้เรียน
6. แฟ้มสะสมงาน (Portfolio) เป็นการรวบรวมผลงานไว้อย่างเป็นระบบในช่วงระยะหนึ่ง
เพื่อ เป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเข้าใจ ความสามารถ ทักษะ ความสนใจ ความถนัด
ความพยายาม ความก้าวหน้า และความสําเร็จ
ข้อควรคํานึงถึงในการประเมินผลตามสภาพจริง
ในการประเมินตามสภาพจริงควรคํานึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1. เป็นการประเมินที่กระทําไปพร้อมๆ
กับการจัดการเรียนรู้และการเรียนรู้ของผู้เรียน
2. เป็นการประเมินที่ยึดพฤติกรรมเป็นสําคัญ
(Performance-based) ซึ่งแสดงออกมาจริง
3. ให้ความสําคัญในการพัฒนาจุดเด่นของผู้เรียน
4. เน้นการพัฒนาผู้เรียนและการประเมินตนเอง
5. ตั้งอยู่บนพื้นฐานเหตุการณ์ในชีวิตจริงเอื้อต่อการเชื่อมโยงการเรียนรู้ไปสู่ชีวิตจริง
6. มีการเก็บข้อมูลระหว่างการปฏิบัติในทุกบริบท
ทั้งที่โรงเรียน บ้านและชุมชนอย่างต่อเนื่อง
7. เน้นคุณภาพของผลงาน
ซึ่งเป็นผลจากการบูรณาการความรู้ความสามารถหลายด้านของผู้เรียน
8. เน้นการวัดความสามารถในการคิดระดับสูง
เช่น การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ เป็นต้น
9. ส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์เชิงบวก
มีการชื่นชม ส่งเสริม และอํานวยความสะดวกในการเรียนรู้
ของผู้เรียนให้ผู้เรียนมีความสุขสนุกสนานไม่เครียด
10. สนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย(Stakeholders) ในการประเมินผลการเรียน
การวัด
ประเมินผลการเรียนรู้
การวัด
(Measurement)
ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับ การวัด และ การวัดผล บางคนเข้าใจว่า 2 คำนี้เป็นคำเดียวกัน มีความหมายเหมือนกัน
เพราะมาจากภาษาอังกฤษคำเดียวกันคือ measurement แต่ในภาษาไทย 2
คำนี้มีความหมายแตกต่างกันเล็กน้อย ดังนี้
การวัด เป็นกระบวนการกำหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์แทนปริมาณหรือคุณภาพของคุณลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งที่
ต้องการวัด
การวัดผล เป็นกระบวนการกำหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์แทนปริมาณหรือคุณภาพของคุณลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งที่
ต้องการวัด โดยสิ่งที่ต้องการวัดนั้นเป็นผลมาจากการกระทำหรือกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน เช่น การวัดผล
การเรียนรู้ สิ่งที่วัดคือ
ผลที่เกิดจากการเรียนรู้ของผู้เรียน
องค์ประกอบของการวัด
องค์ประกอบของการวัดประกอบด้วย สิ่งที่ต้องการวัด
เครื่องมือวัด และผลของการวัด ที่สำคัญที่สุด คือ เครื่องมือวัด
เครื่องมือที่มีคุณภาพจะให้ผลการวัดที่เที่ยงตรงและแม่นยำ
ประเภทของสิ่งที่ต้องการวัด สิ่งที่ต้องการวัดแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1.
สิ่งที่เป็นรูปธรรม คือ คน สัตว์ หรือสิ่งของ ที่จับต้องได้ มีรูปทรง การวัดสิ่งที่เป็นรูปธรรมนี้เป็นการวัดทางกายภาพ (physical) คุณลักษณะที่จะวัดสามารถกำหนดได้ชัดเจน เช่น น้ำหนัก ความสูง ความยาว
เครื่องมือวัดคุณลักษณะเหล่านี้ให้ผลการวัดที่เที่ยงตรงและแม่นยำสูง วัดได้ครบถ้วน
สมบูรณ์ และเอียดถี่ถ้วน ตัวอย่างเครื่องมือวัด เช่น เครื่องชั่ง ไม้บรรทัด สายวัด เป็นต้น การวัดลักษณะนี้เป็นการวัดทางตรง ตัวเลขที่ได้จากการวัดแทนปริมาณคุณลักษณะที่ต้องการวัดทั้งหมด เช่น หนัก 10 กิโลกรัม สูง 172 เซนติเมตร ยาว 3.5 เมตร ตัวเลข 10 172 และ 3.5 แทนน้ำหนัก ความสูง
และความยาวทั้งหมด เช่น 10 แทนน้ำหนักทั้งหมด ถ้าไม่มีคุณลักษณะดังกล่าว เช่นหนัก 0 หน่วย ก็คือ ไม่มีนำหนักเลย ตัวเลข 0
นี้เป็นศูนย์แท้ (absolute zero)
2.
สิ่งที่เป็นนามธรรม คือสิ่งที่ไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ เป็นการวัดพฤติกรรมและสังคมศาสตร์ (behavioral
and social science) คุณลักษณะที่จะวัดกำหนดได้ไม่ชัดเจน เช่น การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
(achievement) วัดเจตคติ (attitude) วัดความถนัด (aptitude) วัดบุคลิกภาพ (personality) เป็นต้น เครื่องมือวัดด้านนี้มีคุณภาพด้อยกว่าเครื่องมือวัดสิ่งที่เป็นรูปธรรม คือ ให้ผลการวัดที่เที่ยงตรงและแม่นยำน้อยกว่า ลักษณะการวัด
เป็นการวัดทางอ้อม วัดได้ไม่สมบูรณ์ ไม่ละเอียดถี่ถ้วน และมีความผิดพลาด ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่ได้จากการวัดเป็นค่าโดยประมาณ ไม่สามารถแทนปริมาณหรือคุณภาพของคุณลักษณะที่ต้องการวัดได้ทั้งหมด เช่น การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนคนหนึ่ง
ได้ 15 คะแนน ตัวเลข 15
ไม่ได้แทนปริมาณความรู้ความสามารถทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนคนนี้ทั้งหมด แม้แต่นักเรียนที่สอบได้คะแนนเต็ม ไม่ได้หมายความว่านักเรียนผู้นั้นมีความรู้ความสามารถในเรื่องดังกล่าวสมบูรณ์เต็มตามกรอบของหลักสูตร
ในทางตรงกันข้ามนักเรียนที่ได้ 0 คะแนน ก็ไม่ได้หมายความว่านักเรียนผู้นั้นไม่มีความรู้ความสามารถในคุณลักษณะดังกล่าว เพียงแต่ตอบคำถามผิดหรือเครื่องมือวัดไม่ตรงกับความรู้ความสามารถที่นักเรียนคนนั้นมี
เลข 0 นี้ เป็นศูนย์เทียม
ลักษณะการวัดทางการศึกษา
การวัดทางการศึกษาเป็นการวัดคุณลักษณะที่เป็นนามธรรม มีลักษณะการวัด ดังนี้
1.
เป็นการวัดทางอ้อม คือ ไม่สามารถวัดคุณลักษณะที่ต้องการวัดได้โดยตรง ต้องนิยามคุณลักษณะดังกล่าวไห้เป็นพฤติกรรมที่วัดได้ก่อน จากนั้นจึงวัดตามพฤติกรรมที่นิยาม เช่น การวัดความรับผิดชอบของนักเรียน
ต้องให้นิยามคุณลักษณะความรับผิดชอบเป็นพฤติกรรมที่วัดได้ โดยอาจจะแยกเป็นพฤติกรรมย่อย เช่น ไม่มาโรงเรียนสาย ทำงานทุกงานที่ได้รับมอบหมาย นำวัสดุอุปกรณ์การเรียนที่ครูสั่งมาครบทุกครั้ง ส่งงานหรือการบ้านตามเวลาที่กำหนด เป็นต้น
2.
วัดได้ไม่สมบูรณ์ การวัดทางการศึกษาไม่สามารถทำการวัดคุณลักษณะที่ต้องการวัดได้ครบถ้วนสมบูรณ์ วัดได้เพียงบางส่วน หรือวัดได้เฉพาะตัวแทนของคุณลักษณะทั้งหมด เช่นการวัดความสามารถการอ่านคำของนักเรียน ผู้วัดไม่สามารถนำคำทุกคำมาทำการทดสอบนักเรียน ทำได้เพียงนำคำส่วนหนึ่งที่คิดว่าเป็นตัวแทนของคำทั้งหมดมาทำการวัด เป็นต้น
3.
มีความผิดพลาด สืบเนื่องจากการที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรง และการนิยามสิ่งที่ต้องการวัดก็ไม่สามารถนิยามให้เป็นพฤติกรรมที่วัดได้ได้ทั้งหมด จึงวัดได้ไม่สมบูรณ์ ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่ได้จากการวัดเป็นการประมาณคุณลักษณะที่ต้องการวัด ซึ่งในความเป็นจริงคุณลักษณะดังกล่าวอาจจะมีมากหรือน้อยกว่า ผลการวัดจึงมีความผิดพลาดของการวัด หรือคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง การวัดที่ดีจะต้องให้เกิดการผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด
4.
อยู่ในรูปความสัมพันธ์ การที่จะรู้ความหมายของตัวเลขที่วัดได้ ต้องนำตัวเลขดังกล่าวไปเทียบกับเกณฑ์หรือเทียบกับคนอื่น เช่น นำคะแนนที่นักเรียนสอบได้เทียบกับคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม เทียบกับคะแนนของเพื่อนที่สอบพร้อมกัน หรือเทียบกับคะแนนของนักเรียนเองกับการสอบครั้งก่อนๆ ถ้าคะแนนสูงกว่าเพื่อน แสดงว่ามีความสามารถในเรื่องที่วัดมากกว่าเพื่อนคนนั้น หรือถ้ามีคะแนนสูงกว่าคะแนนที่ตนเองเคยสอบผ่านมา แสดงว่ามีพัฒนาการขึ้น เป็นต้น
หลักการวัดทางการศึกษา
การวัดทางการศึกษา
มีหลักการเบื้องต้น ดังนี้
1.
นิยามสิ่งที่ต้องการวัดให้ชัดเจน ดังที่กล่าวไว้ในลักษณะการวัดว่า การวัดทางการศึกษาเป็นการวัดทางอ้อม การที่จะวัดให้มีคุณภาพต้องนิยามคุณลักษณะที่ต้องการวัดให้ตรงและชัดเจน การนิยามนี้ มีความสำคัญมาก ถ้านิยามไม่ตรงหรือไม่ถูกต้อง เครื่องมือวัดที่สร้างตามนิยามก็ไม่มีคุณภาพ ผลการวัดก็ผิดพลาด คือ
วัดได้ไม่ตรงกับคุณลักษณะที่ต้องการวัด
2. ใช้เครื่องมือวัดที่มีคุณภาพ หัวใจสำคัญของการวัด
คือ สามารถวัดคุณลักษณะได้ตรงตามกับที่ต้องการวัดและวัดได้แม่นยำ โดยใช้เครื่องมือวัดที่มีคุณภาพ คุณภาพของเครื่องมือมีหลายประการ ที่สำคัญคือ มีความตรง (validity) คือวัดได้ตรงกับคุณลักษณะที่ต้องการวัด
และมีความเที่ยง (reliability) คือวัดได้คงที่
คือวัดได้กี่ครั้งก็ให้ผลการวัดที่ไม่เปลี่ยนแปลง
3. กำหนดเงื่อนไขของการวัดให้ชัดเจน คือกำหนดให้แน่นอนว่าจะทำการวัดอะไร วัดอย่างไร กำหนดตัวเลขและสัญลักษณ์อย่างไร
ขั้นตอนการวัดทางการศึกษา
1. ระบุจุดประสงค์และขอบเขตของการวัด ว่าวัดอะไร
วัดใคร
2. นิยามคุณลักษณะที่ต้องการวัดให้เป็นพฤติกรรมที่วัดได้
3. กำหนดวิธีการวัดและเครื่องมือวัด
4. จัดหาหรือสร้างเครื่องมือวัด กรณีสร้างเครื่องมือใหม่ดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้
4.1 สร้างข้อคำถาม เงื่อนไข สถานการณ์ หรือสิ่งเร้า ที่จะกระตุ้นให้ผู้ถูกวัดแสดงพฤติกรรมตอบสนองออกมาเพื่อทำการวัด โดยข้อคำถามเงื่อนไข สถานการณ์ หรือสิ่งเร้าดังกล่าวต้องตรงและครอบคลุมคุณลักษณะที่นิยามไว้
4.2 พิจารณาข้อคำถาม เงื่อนไข สถานการณ์ หรือสิ่งเร้า
โดยอาจให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเนื้อหาและทางด้านวัดผลช่วยพิจารณา
4.3 ทดลองใช้เครื่องมือ กับกลุ่มที่เทียบเคียงกับกลุ่มที่ต้องการวัด
4.4 หาคุณภาพของเครื่องมือ มีคุณภาพรายข้อและคุณภาพ
เครื่องมือทั้งฉบับ
4.5 จัดทำคู่มือวัดและการแปลความหมาย
4.6 จัดทำเครื่องมือฉบับสมบูรณ์
5. ดำเนินการวัดตามวิธีการที่กำหนด
6.
ตรวจสอบและวิเคราะห์ผลการวัด
7.
แปลความหมายผลการวัดและนำผลการวัดไปใช้
การประเมิน
(Evaluation or Assessment or Appraisal)
ความหมาย
การประเมินและการประเมินผล มีความหมายทำนองเดียวกับ การวัดและการวัดผล ดังนี้
การประเมิน เป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการวัด คือ
นำตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่ได้จากการวัดมาตีค่าอย่างมีเหตุผล
โดยเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานที่กำหนดไว้ เช่น โรงเรียนกำหนดคะแนนที่น่าพอใจของวิชาคณิตศาสตร์ไว้ที่ร้อยละ
60 นักเรียนที่สอบได้คะแนนตั้งแต่ 60 % ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ที่น่าพอใจ หรืออาจจะกำหนดเกณฑ์ไว้หลายระดับ เช่น
ได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 40 อยู่ในเกณฑ์ควรปรับปรุง ร้อยละ 40-59 อยู่ในเกณฑ์พอใช้ ร้อยละ
60-79 อยู่ในเกณฑ์ดี และร้อยละ 80 ขึ้นไป อยู่ในเกณฑ์ดีมาก
เป็นต้น ลักษณะเช่นนี้เรียกว่าเป็นการประเมิน
การประเมินผล มีความหมายเช่นเดียวกับการประเมิน แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการวัดผล
สำหรับภาษาอังกฤษมีหลายคำ ที่ใช้มากมี 2 คำ คือ evaluation และ assessment 2 คำนี้มีความหมายต่างกัน คือ
evaluation เป็นการประเมินตัดสิน มีการกำหนดเกณฑ์ชัดเจน
(absolute criteria) เช่น ได้คะแนนร้อยละ 80
ขึ้นไป ตัดสินว่าอยู่ในระดับดี ได้คะแนนร้อยละ 60 – 79 ตัดสินว่าอยู่ในระดับพอใช้ ได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 60 ตัดสินว่าอยู่ในระดับควรปรับปรุง evaluation จะใช้กับการประเมินการดำเนินงานทั่วๆ ไป เช่น การประเมินโครงการ (Project Evaluation) การประเมินหลักสูตร
(Curriculum Evaluation)
assessment เป็นการประเมินเชิงเปรียบเทียบ ใช้เกณฑ์เชิงสัมพันธ์
(relative criteria) เช่น
เทียบกับผลการประเมินครั้งก่อน เทียบกับเพื่อนหรือกลุ่มใกล้เคียงกัน assessment มักใช้ในการประเมินผลสัมฤทธิ์ เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การประเมินตนเอง (Self
Assessment)
ลักษณะการประเมินทางการศึกษา
การประเมินทางการศึกษามีลักษณะ ดังนี้
1.
เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนการสอนหรือกระบวนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งควรทำการประเมินอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำผลการประเมินไปปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
2. เป็นการประเมินคุณลักษณะหรือพัฒนาการการเรียนรู้ของผู้เรียนว่าบรรลุตามจุดประสงค์หรือไม่
3.
เป็นการประเมินในภาพรวมทั้งหมดของผู้เรียน
โดยการรวบรวมข้อมูลและประมวลจากตัวเลขจากการวัดหลายวิธีและหลายแหล่ง
4.
เป็นกระบวนการเกี่ยวข้องกับบุคลหลายกลุ่ม ทั้งครู นักเรียน ผู้ปกครองนักเรียน ผู้บริหารโรงเรียน
และอาจรวมถึงคณะกรรมการต่างๆ ของโรงเรียน
หลักการประเมินทางการศึกษา
หลักการประเมินทางการศึกษาโดยทั่วไปมีดังนี้
1.
ขอบเขตการประเมินต้องตรงและครอบคลุมหลักสูตร
2.
ใช้ข้อมูลจากผลการวัดที่ครอบคลุม จากการวัดหลายแหล่ง หลายวิธี
3.
เกณฑ์ที่ใช้ตัดสินผลการประเมินมีความชัดเจน เป็นไปได้ มีความยุติธรรม ตรงตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร
ขั้นตอนในการประเมินทางการศึกษา
การประเมินทางการศึกษามีขั้นตอนที่สำคัญ ดังนี้
1.
กำหนดจุดประสงค์การประเมิน โดยให้สอดคล้องและครอบคลุมจุดประสงค์ของหลักสูตร
2.
กำหนดเกณฑ์เพื่อตีค่าข้อมูลที่ได้จาการวัด
3.
รวบรวมข้อมูลจากการวัดหลายๆ แหล่ง
4.
ประมวลและผสมผสานข้อมูลต่างๆ ของทุกรายการที่วัดได้
5.
วินิจฉัยชี้บ่งและตัดสินโดยเทียบกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้
ประเภทของการประเมินทางการศึกษ
การประเมินแบ่งได้หลายประเภท ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง ดังนี้
1.
แบ่งตามจุดประสงค์ของการประเมิน
การแบ่งตามจุดประสงค์ของการประเมิน แบ่งได้ดังนี้
1.1 การประเมินก่อนเรียน หรือก่อนการจัดการเรียนรู้ หรือการประเมินพื้นฐาน (Basic Evaluation) เป็นการประเมินก่อนเริ่มต้นการเรียนการสอนของแต่ละบทเรียนหรือแต่ละหน่วย แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
1.1.1 การประเมินเพื่อจัดตำแหน่ง (Placement Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อพิจารณาดูว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถในสาระที่จะเรียนอยู้ในระดับใดของกลุ่ม ประโยชน์ของการประเมินประเภทนี้ คือ
ครูใช้ผลการประเมินเพื่อกำหนดรูปแบบการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้เรียน ผู้เรียนที่มีความรู้ความสามารถในสาระที่จะเรียนน้อยคืออยู่ในตำแหน่งท้ายๆ
ควรได้รับการเพิ่มพูนเนื้อหาสาระนั้นมากกว่ากลุ่มที่อยู่ในลำดับต้นๆ คือ
กลุ่มที่มีความรู้ความสามารถในสาระที่จะเรียนมากกว่า หรือกลุ่มที่มีความรู้พื้นฐานในสาระที่จะเรียนดีกว่า และแต่ละกลุ่มควรใช้รูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
1.1.2 การประเมินเพื่อวินิจฉัย (Diagnostic Evaluation) เป็นการประเมินก่อนการเรียนการสอนอีกเช่นกัน แต่เป็นการประเมินเพื่อพิจารณาแยกแยะว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถในสาระที่จะเรียนรู้มากน้อยเพียงใด มีพื้นฐานเพียงพอที่จะเรียนในเรื่องที่จะสอนหรือไม่ จุดใดสมบูรณ์แล้ว จุดใดยังบกพร่องอยู่ จำเป็นต้องได้รับการสอนเสริมให้มีพื้นฐานที่เพียงพอเสียก่อนจึงจะเริ่มต้นสอนเนื้อหาในหน่วยการเรียนต่อไป และจากพื้นฐานที่ผู้เรียนมีอยู่ควรใช้รูปแบบการเรียนการสอนอย่างไร
ทั้งการประเมินเพื่อจัดตำแหน่งและการประเมินเพื่อวินิจฉัยมีจุดประสงค์เหมือนกันคือเพื่อทราบพื้นฐานความรู้ความสามารถของผู้เรียนก่อนที่จะจัดการเรียนรู้หรือการเรียนการสอนในสาระการเรียนรู้นั้นๆ แต่การประเมิน 2 ประเภทดังกล่าวมีความแตกต่างกัน คือ
การประเมินเพื่อจัดตำแหน่ง เป็นการประเมินเพื่อพิจารณาในภาพรวม ใช้เครื่องมือไม่ละเอียดหรือจำนวนข้อคำถามไม่มาก แต่การประเมินเพื่อวินิจฉัยเป็นการประเมินเพื่อพัฒนาอย่างละเอียด แยกแยะเนื้อหาเป็นตอนๆ
เพื่อพิจารณาว่าผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานของเนื้อหาแต่ละตอนมากน้อยเพียงใด จุดใดบกพร่องบ้าง ดังนั้นจำนวนข้อคำถามมีมากกว่า
1.2 การประเมินเพื่อพัฒนา หรือการประเมินย่อย (Formative
Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อใช้ผลการประเมินเพื่อปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนรู้
การประเมินประเภทนี้ใช้ระหว่างการจัดการเรียนการสอน เพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ในระหว่างการจัดการเรียนการสอนหรือไม่ หากผู้เรียนไม่ผ่านจุดประสงค์ที่ตั้งไว้
ผู้สอนก็จะหาวิธีการที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้
ผลการประเมินยังเป็นการตรวจสอบครูผู้สอนเองว่าเป็นอย่างไร
แผนการเรียนรู้รายครั้งที่เตรียมมาดีหรือไม่ ควรปรับปรุงอย่างไร กระบวนการจัดการเรียนรู้เป็นอย่างไร
มีจุดใดบกพร่องที่ต้องปรับปรุงแก้ไขต่อไป
การประเมินประเภทนี้ นอกจากจะใช้ผลการประเมินเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนแล้ว
ผลการประเมินยังใช้ในการปรับปรุงหลักสูตรของสถานศึกษาด้วย กล่าวคือ
หากพบว่าเนื้อหาสาระใดที่ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ไม่เป็นไปตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง โดยที่ผู้สอนได้พยายามปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนอย่างเต็มที่กับผู้เรียนหลายกลุ่มแล้วยังได้ผลเป็นอย่างเดิม
แสดงว่าผลการเรียนรู้ที่คาดหวังนั้นสูงเกินไปหรือไม่เหมาะกับผู้เรียนในชั้นเรียนระดับนี้
หรือเนื้อหาอาจจะยากหรือซับซ้อนเกินไปที่จะบรรจุในหลักสูตรระดับนี้
ควรบรรจุในชั้นเรียนที่สูงขึ้น
จะเห็นว่าผลจากการประเมินจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาด้วย
1.3 การประเมินเพื่อตัดสินหรือการประเมินผลรวม (Summative
Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อตัดสินผลการจัดการเรียนรู้
เป็นการประเมินหลังจากผู้เรียนได้เรียนไปแล้ว
อาจเป็นการประเมินหลังจบหน่วยการเรียนรู้หน่วยใดหน่วยหนึ่ง หรือหลายหน่วย รวมทั้งการประเมินปลายภาคเรียนหรือปลายปี
ผลจากการประเมินประเภทนี้ใช้ในการตัดสินผลการจัดการเรียนการสอน
หรือตัดสินใจว่าผู้เรียนคนใดควรจะได้รับระดับคะแนนใด
2.
แบ่งตามการอ้างอิง
การแบ่งประเภทของการประเมินตามการอ้างอิงหรือตามระบบของการวัด แบ่งออกเป็น
2.1 การประเมินแบบอิงตน (Self-referenced Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อนำผลจากการเรียนรู้มาเปรียบเทียบกับความสามารถของตนเอง
เป็นการประเมินเพื่อปรับปรุงตนเอง (Self
Assessment) เช่น
ประเมินโดยการเปรียบเทียบผลการทดสอบก่อนเรียนกับทดสอบหลังเรียนของตนเอง
การประเมินแบบนี้ ควรจะใช้แบบทดสอบคู่ขนานหรือแบบทดสอบเทียบเคียง (Equivalence
Test) เพื่อเปรียบเทียบกันได้
2.2
การประเมินแบบอิงกลุ่ม (Norm-referenced
Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อพิจารณาว่าผู้ได้รับการประเมินแต่ละคนมีความสามารถมากน้อยเพียงใด
เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ถูกวัดด้วยแบบทดสอบฉบับเดียวกัน
การประเมินประเภทนี้ขึ้นอยู่กับความรู้ ความสามารถของกลุ่มเป็นสำคัญ
นิยมใช้ในการจัดตำแหน่งผู้ถูกประเมิน หรือใช้เพื่อคัดเลือกผู้เข้าศึกษาต่อ
2.3
การประเมินแบบอิงเกณฑ์ (Criterion-referenced
Evaluation) เป็นการนำผลการสอบที่ได้ไปเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้
ความสำคัญอยู่ที่เกณฑ์ โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความสามารถของกลุ่ม ซึ่งเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้ได้แก่
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังและมาตรฐานการเรียนรู้
3.
แบ่งตามผู้ประเมิน
การแบ่งประเภทของการประเมินตามกลุ่มผู้ประเมิน (Evaluator) แบ่งออกเป็น
3.1 การประเมินตนเอง (Self Assessment) หรือการประเมินภายใน
(Internal Evaluation) เป็นการประเมินลักษณะเดียวกับการประเมินแบบอิงตน
คือ เพื่อนำผลการประเมินมาพัฒนาหรือปรับปรุงตนเอง การประเมินประเภทนี้สามารถประเมินได้ทุกกลุ่ม ผู้เรียนประเมินตนเองเพื่อปรับปรุงการเรียนรู้ของตนเอง ครูประเมินเพื่อปรับปรุงการสอนของตนเอง
นอกจากประเมินเพื่อพัฒนาปรับปรุงการเรียนการสอนแล้ว สามารถประเมินเพื่อพัฒนาปรับปรุงได้ทุกเรื่อง
ผู้บริหารสถานศึกษาประเมินเพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการศึกษาของสถานศึกษาโดยอาจจะประเมินด้วยตนเอง
หรือมีคณะประเมินของสถานศึกษา เรียกว่า การประเมินภายใน (Internal
Evaluation) หรือการศึกษาตนเอง (Self Study)โดยอาจจะประเมินโดยรวม หรือแบ่งประเมินเป็นส่วนๆ เป็นด้านๆ ลักษณะการประเมินอาจจะมีคณะเดียวประเมินทุกส่วน
หรือจะให้แต่ละส่วนประเมินตนเองหรือภายในส่วนของตนเอง เช่น แต่ละระดับชั้นเรียน แต่ละหมวดวิชาหรือกลุ่มสาระการเรียนรู้ แต่ละฝ่าย
อาทิ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายวิชาการ ฝ่ายอาคารสถานที่ เป็นต้น เพื่อให้แต่ละส่วนมีการพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานของตนเอง
และอาจจะรวบรวมผลการประเมินแต่ละส่วนเพื่อจัดทำเป็นรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษา
(Self Study Report : SSR หรือ Self Assessment
Report : SAR)
3.2 การประเมินโดยผู้อื่นหรือการประเมินภายนอก (External
Evaluation) สืบเนื่องจากการประเมินตนเองหรือการประเมินภายในซึ่งมีความสำคัญมากในการพัฒนาปรับปรุง แต่การประเมินภายในมีจุดอ่อนคือความน่าเชื่อถือ โดยบุคคลภายนอกมักคิดว่าการประเมินภายในนั้น มีความลำเอียง ผู้ประเมินตนเองมักจะเข้าข้างตนเอง ดังนั้นจึงมีการประเมินโดยผู้อื่นหรือประเมินโดยผู้ประเมินภายนอก เพื่อยืนยันการประเมินภายใน และอาจจะมีจุดอ่อนหรือจุดที่ควรได้รับการพัฒนายิ่งขึ้นในทรรศนะของผู้ประเมินในฐานะที่มีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ดี การประเมินภายนอกก็มีจุดบกพร่องในเรื่องการรู้รายละเอียดและถูกต้องของสิงที่จะประเมิน และจุดบกพร่องอีกประการหนึ่งคือเจตคติของผู้ถูกประเมิน
ถ้ารู้สึกว่าถูกจับผิดก็จะต่อต้าน ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ยอมรับผลการประเมิน ทำให้การประเมินดำเนินไปด้วยความยากลำบาก ดังนั้นการประเมินภายนอกควรมาจากความต้องการของผู้ถูกประเมิน เช่น
ครูผู้สอนให้ผู้เรียน ผู้ปกครอง หรือเพื่อนครูประเมินการสอนของตนเอง สถานศึกษาให้ผู้ปกครองหรือ
นักประเมินมืออาชีพ
(ภายนอก) ประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา
ความสำคัญของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ทำให้ได้ข้อมูลสารสนเทศที่จำเป็นในการพิจารณาว่าผู้เรียนเกิดคุณภาพการเรียนรู้ตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวังและมาตรฐานการเรียนรู้
จากประเภทของการประเมินโดยเฉพาะการแบ่งประเภทโดยใช้จุดประสงค์ของการประเมินเป็นเกณฑ์ในการแบ่งประเภท จะเห็นว่า
การวัดและประเมินผลการเรียนนอกจากจะมีประโยชน์โดยตรงต่อผู้เรียนแล้ว
ยังสะท้อนถึงประสิทธิภาพการการสอนของครู และเป็นข้อมูลสำคัญที่สะท้อนคุณภาพการดำเนินงานการจัดการศึกษาของสถานศึกษาด้วย ดังนั้นครูและสถานศึกษาต้องมีข้อมูลผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ทั้งจากการประเมินในระดับชั้นเรียน ระดับสถานศึกษา และระดับอื่นที่สูงขึ้น ประโยชน์ของการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้จำแนกเป็นด้านๆ
ดังนี้
1. ด้านการจัดการเรียนรู
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนมีประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้หรือการจัดการเรียนการสอนดังนี้
1.1 เพื่อจัดตำแหน่ง (Placement) ผลจากการวัดบอกได้ว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถอยู่ในระดับใดของกลุ่มหรือเปรียบเทียบกับเกณฑ์แล้วอยู่ในระดับใด การวัดและประเมินเพื่อจัดตำแหน่งนี้ มักใช้ในวัตถุประสงค์ 2 ประการคือ
1.1.1
เพื่อคัดเลือก (Selection) เป็นการใช้ผลการวัดเพื่อคัดเลือกเพื่อเข้าเรียน เข้าร่วมกิจกรรม-โครงการ หรือเป็นตัวแทน(เช่นของชั้นเรียนหรือสถานศึกษา) เพื่อการทำกิจกรรม หรือการให้ทุนผล การวัดและประเมินผลลักษณะนี้คำนึงถึงการจัดอันดับที่เป็นสำคัญ
1.1.2
เพื่อแยกประเภท (Classification) เป็นการใช้ผลการวัดและประเมินเพื่อแบ่งกลุ่มผู้เรียน เช่น
แบ่งเป็นกลุ่มอ่อน ปานกลาง และเก่ง แบ่งกลุ่มผ่าน-ไม่ผ่านเกณฑ์ หรือตัดสินได้-ตก เป็นต้น เป็นการวัดและประเมินที่ยึดเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งกลุ่มเป็นสำคัญ
1.2 เพื่อวินิจฉัย (Diagnostic) เป็นการใช้ผลการวัดและประเมินเพื่อค้นหาจุดเด่น-จุดด้อยของผู้เรียนว่ามีปัญหาในเรื่องใด จุดใด มากน้อยแค่ไหน เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจการวางแผนการจัดการเรียนรู้และการปรับปรุงการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เครื่องมือที่ใช้วัดเพื่อการวินิจฉับ เรียกว่า แบบทดสอบวินิจฉัย (Diagnostic
Test) หรือแบบทดสอบวินิจฉัยการเรียน ประโยชน์ของการวัดและประเมินประเภทนี้นำไปใช้ในวัตถุประสงค์ 2
ประการดังนี้
1.2.1
เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ผลการวัดผู้เรียนด้วยแบบทดสอบวินิจฉัยการเรียนจะทำให้ทราบว่าผู้เรียนมีจุดบกพร่องจุดใด มากน้อยเพียงใด ซึ่งครูผู้สอนสามารถแก้ไขปรับปรุงโดยการสอนซ่อมเสริม (Remedial
Teaching) ได้ตรงจุด
เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่คาดหวังไว้
1.2.2
เพื่อปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ ผลการวัดด้วยแบบทดสอบวินิจฉัยการเรียน
นอกจากจะช่วยให้เห็นว่าผู้เรียนมีจุดบกพร่องเรื่องใดแล้ว
ยังช่วยให้เห็นจุดบกพร่องของกระบวนการจัดการเรียนรู้อีกด้วย เช่น
ผู้เรียนส่วนใหญ่มีจุดบกพร่องจุดเดียวกัน ครูผู้สอนต้องทบทวนว่าอาจจะเป็นเพราะวิธีการจัดการเรียนรู้ไม่เหมาะสมต้องปรัปรุงแก้ไขให้เหมาะสม
1.3
เพื่อตรวจสอบและปรับปรุง การประเมินเพื่อพัฒนา (Formative Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อตรวจสอบผลการเรียนรู้เทียบกับจุดประสงค์หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ผลจากการประเมินใช้พัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยอาจจะปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนวิธีการสอน (Teaching
Method) ปรับเปลี่ยนสื่อการสอน (Teaching Media) ใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ (Teaching Innovation) เพื่อนำไปสู่การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
1.4
เพื่อการเปรียบเทียบ (Assessment) เป็นการใช้ผลการวัดและประเมินเปรียบเทียบว่าผู้เรียนมีพัฒนาการจากเดิมเพียงใด
และอยู่ในระดับที่พึงพอใจหรือไม่
1.5
เพื่อการตัดสิน การประเมินเพื่อการตัดสินผลการเรียนของผู้เรียนเป็นการประเมินรวม (Summative
Evaluation) คือใช้ข้อมูลที่ได้จากการวัดเทียบกับเกณฑ์เพื่อตัดสินผลการเรียนว่าผ่าน-ไม่ผ่าน หรือให้ระดับคะแนน
2 ด้านการแนะแนว
ผลจากการวัดและประเมินผู้เรียน ช่วยให้ทราบว่าผู้เรียนมีปัญหาและข้อบกพร่องในเรื่องใด
มากน้อยเพียงใด ซึ่งสามารถแนะนำและช่วยเหลือผู้เรียนให้แก้ปัญหา
มีการปรับตัวได้ถูกต้องตรงประเด็น นอกจากนี้ผลการวัดและประเมินยังบ่งบอกความรู้ความสามารถ
ความถนัด และความสนใจของผู้เรียน ซึ่งสามารถนำไปใช้แนะแนวการศึกษาต่อและแนะแนวการเลือกอาชีพให้แก่ผู้เรียนได้
3. ด้านการบริหาร
ข้อมูลจากการวัดและประเมินผู้เรียน
ช่วยให้ผู้บริหารเห็นข้อบกพร่องต่างๆ ของการจัดการเรียนรู้
เป็นการประเมินผลการปฏิบัติงานของครู และบ่งบอกถึงคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา
ผู้บริหารสถานศึกษามักใช้ข้อมูลได้จากการวัดและประเมินใช้ในการตัดสินใจหลายอย่าง
เช่น การพัฒนาบุคลากร การจัดครูเข้าสอน
การจัดโครงการ การเปลี่ยนแปลงโปรแกรมการเรียน
นอกจากนี้การวัดและประเมินผลยังให้ข้อมูลที่สำคัญใน
การจัดทำรายงานการประเมินตนเอง
(SSR) เพื่อรายงานผลการจัดการศึกษาสู่ผู้ปกครอง สาธารณชน หน่วยงานต้นสังกัด และนำไปสู่การรองรับการประเมินภายนอก
จะเห็นว่าการวัดและประเมินผลการศึกษาเป็นหัวใจสำคัญของระบบการประกันคุณภาพทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา
4. ด้านการวิจัย
การวัดและประเมินผลมีประโยชน์ต่อการวิจัยหลายประการดังนี้
4.1 ข้อมูลจาการวัดและประเมินผลนำไปสู่ปัญหาการวิจัย เช่น
ผลจากการวัดและประเมินพบว่าผู้เรียนมีจุดบกพร่องหรือมีจุดที่ควรพัฒนาการแก้ไขจุดบกพร่องหรือการพัฒนาดังกล่าวโดยการปรับเปลี่ยนเทคนิควิธีสอนหรือทดลองใช้นวัตกรรมโดยใช้กระบวนการวิจัย
การวิจัยดังกล่าวเรียกว่า การวิจัยในชั้นเรียน (Classroom
Research) นอกจากนี้ผลจากการวัดและประเมินยังนำไปสู่การวิจัยในด้านอื่น
ระดับอื่น เช่น
การวิจัยของสถานศึกษาเกี่ยวกับการทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียน
เป็นต้น
4.2 การวัดและประเมินเป็นเครื่องมือของการวิจัย การวิจัยใช้การวัดในการรวบรวมข้อมูลเพื่อศึกษาผลการวิจัย
ขั้นตอนนี้เริ่มจากการหาหรือสร้างเครื่องมือวัด การทดลองใช้เครื่องมือ การหาคุณภาพเครื่องมือ จนถึงการใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพแล้วรวบรวมข้อมูลการวัดตัวแปรที่ศึกษา หรืออาจต้องตีค่าข้อมูล จะเห็นว่าการวัดและประเมินผลมีบทบาทสำคัญมากในการวิจัย เพราะการวัดไม่ดี ใช้เครื่องมือไม่มีคุณภาพ ผลของการวิจัยก็ขาดความน่าเชื่อถือ
การวัดและประเมินก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียน
ก่อนเรียน
ระหว่างเรียน และหลังเรียน 3 คำนี้มีความเกี่ยวเนื่องกัน แต่ต่างกันที่ระยะเวลาและจุดประสงค์ของการวัดและประเมิน 3 คำนี้มีความหมายทั้งในมิติที่กว้างและแคบ ดังนี้
1. ก่อนเรียน
การวัดและประเมินก่อนเรียนมีจุดประสงค์เพื่อมทราบสภาพของผู้เรียน
ณ เวลาก่อนที่จะเรียน เช่น ความรู้พื้นฐานในกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ ก่อนเรียนอาจจะหมายถึง
1.1 ก่อนเข้าเรียน ซึ่งอาจจะตั้งแต่ก่อนเรียนระดับปฐมวัย หรือก่อนจะเริ่มเรียนการวัด
ประเมินผลการเรียนรู้
การวัด
(Measurement)
ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับ การวัด และ การวัดผล บางคนเข้าใจว่า 2 คำนี้เป็นคำเดียวกัน มีความหมายเหมือนกัน
เพราะมาจากภาษาอังกฤษคำเดียวกันคือ measurement แต่ในภาษาไทย 2
คำนี้มีความหมายแตกต่างกันเล็กน้อย ดังนี้
การวัด
เป็นกระบวนการกำหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์แทนปริมาณหรือคุณภาพของคุณลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งที่
ต้องการวัด
การวัดผล เป็นกระบวนการกำหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์แทนปริมาณหรือคุณภาพของคุณลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งที่
ต้องการวัด โดยสิ่งที่ต้องการวัดนั้นเป็นผลมาจากการกระทำหรือกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน เช่น การวัดผล
การเรียนรู้ สิ่งที่วัดคือ
ผลที่เกิดจากการเรียนรู้ของผู้เรียน
องค์ประกอบของการวัด
องค์ประกอบของการวัดประกอบด้วย สิ่งที่ต้องการวัด
เครื่องมือวัด และผลของการวัด ที่สำคัญที่สุด คือ เครื่องมือวัด
เครื่องมือที่มีคุณภาพจะให้ผลการวัดที่เที่ยงตรงและแม่นยำ
ประเภทของสิ่งที่ต้องการวัด สิ่งที่ต้องการวัดแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1.
สิ่งที่เป็นรูปธรรม คือ คน สัตว์ หรือสิ่งของ ที่จับต้องได้ มีรูปทรง การวัดสิ่งที่เป็นรูปธรรมนี้เป็นการวัดทางกายภาพ (physical) คุณลักษณะที่จะวัดสามารถกำหนดได้ชัดเจน เช่น น้ำหนัก ความสูง ความยาว
เครื่องมือวัดคุณลักษณะเหล่านี้ให้ผลการวัดที่เที่ยงตรงและแม่นยำสูง วัดได้ครบถ้วน
สมบูรณ์ และเอียดถี่ถ้วน ตัวอย่างเครื่องมือวัด เช่น เครื่องชั่ง ไม้บรรทัด สายวัด เป็นต้น การวัดลักษณะนี้เป็นการวัดทางตรง ตัวเลขที่ได้จากการวัดแทนปริมาณคุณลักษณะที่ต้องการวัดทั้งหมด เช่น หนัก 10 กิโลกรัม สูง 172 เซนติเมตร ยาว 3.5 เมตร ตัวเลข 10 172 และ 3.5 แทนน้ำหนัก ความสูง
และความยาวทั้งหมด เช่น 10 แทนน้ำหนักทั้งหมด ถ้าไม่มีคุณลักษณะดังกล่าว เช่นหนัก 0 หน่วย ก็คือ ไม่มีนำหนักเลย ตัวเลข 0
นี้เป็นศูนย์แท้ (absolute zero)
2.
สิ่งที่เป็นนามธรรม คือสิ่งที่ไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ เป็นการวัดพฤติกรรมและสังคมศาสตร์ (behavioral
and social science) คุณลักษณะที่จะวัดกำหนดได้ไม่ชัดเจน เช่น การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
(achievement) วัดเจตคติ (attitude) วัดความถนัด (aptitude) วัดบุคลิกภาพ (personality) เป็นต้น เครื่องมือวัดด้านนี้มีคุณภาพด้อยกว่าเครื่องมือวัดสิ่งที่เป็นรูปธรรม คือ ให้ผลการวัดที่เที่ยงตรงและแม่นยำน้อยกว่า ลักษณะการวัด
เป็นการวัดทางอ้อม วัดได้ไม่สมบูรณ์ ไม่ละเอียดถี่ถ้วน และมีความผิดพลาด ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่ได้จากการวัดเป็นค่าโดยประมาณ ไม่สามารถแทนปริมาณหรือคุณภาพของคุณลักษณะที่ต้องการวัดได้ทั้งหมด เช่น การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนคนหนึ่ง
ได้ 15 คะแนน ตัวเลข 15
ไม่ได้แทนปริมาณความรู้ความสามารถทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนคนนี้ทั้งหมด แม้แต่นักเรียนที่สอบได้คะแนนเต็ม ไม่ได้หมายความว่านักเรียนผู้นั้นมีความรู้ความสามารถในเรื่องดังกล่าวสมบูรณ์เต็มตามกรอบของหลักสูตร
ในทางตรงกันข้ามนักเรียนที่ได้ 0 คะแนน ก็ไม่ได้หมายความว่านักเรียนผู้นั้นไม่มีความรู้ความสามารถในคุณลักษณะดังกล่าว เพียงแต่ตอบคำถามผิดหรือเครื่องมือวัดไม่ตรงกับความรู้ความสามารถที่นักเรียนคนนั้นมี
เลข 0 นี้ เป็นศูนย์เทียม
ลักษณะการวัดทางการศึกษา
การวัดทางการศึกษาเป็นการวัดคุณลักษณะที่เป็นนามธรรม มีลักษณะการวัด ดังนี้
1.
เป็นการวัดทางอ้อม คือ ไม่สามารถวัดคุณลักษณะที่ต้องการวัดได้โดยตรง ต้องนิยามคุณลักษณะดังกล่าวไห้เป็นพฤติกรรมที่วัดได้ก่อน จากนั้นจึงวัดตามพฤติกรรมที่นิยาม เช่น การวัดความรับผิดชอบของนักเรียน
ต้องให้นิยามคุณลักษณะความรับผิดชอบเป็นพฤติกรรมที่วัดได้ โดยอาจจะแยกเป็นพฤติกรรมย่อย เช่น ไม่มาโรงเรียนสาย ทำงานทุกงานที่ได้รับมอบหมาย นำวัสดุอุปกรณ์การเรียนที่ครูสั่งมาครบทุกครั้ง ส่งงานหรือการบ้านตามเวลาที่กำหนด เป็นต้น
2.
วัดได้ไม่สมบูรณ์ การวัดทางการศึกษาไม่สามารถทำการวัดคุณลักษณะที่ต้องการวัดได้ครบถ้วนสมบูรณ์ วัดได้เพียงบางส่วน หรือวัดได้เฉพาะตัวแทนของคุณลักษณะทั้งหมด เช่นการวัดความสามารถการอ่านคำของนักเรียน ผู้วัดไม่สามารถนำคำทุกคำมาทำการทดสอบนักเรียน ทำได้เพียงนำคำส่วนหนึ่งที่คิดว่าเป็นตัวแทนของคำทั้งหมดมาทำการวัด เป็นต้น
3.
มีความผิดพลาด สืบเนื่องจากการที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรง และการนิยามสิ่งที่ต้องการวัดก็ไม่สามารถนิยามให้เป็นพฤติกรรมที่วัดได้ได้ทั้งหมด จึงวัดได้ไม่สมบูรณ์ ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่ได้จากการวัดเป็นการประมาณคุณลักษณะที่ต้องการวัด ซึ่งในความเป็นจริงคุณลักษณะดังกล่าวอาจจะมีมากหรือน้อยกว่า ผลการวัดจึงมีความผิดพลาดของการวัด หรือคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง การวัดที่ดีจะต้องให้เกิดการผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด
4.
อยู่ในรูปความสัมพันธ์ การที่จะรู้ความหมายของตัวเลขที่วัดได้ ต้องนำตัวเลขดังกล่าวไปเทียบกับเกณฑ์หรือเทียบกับคนอื่น เช่น นำคะแนนที่นักเรียนสอบได้เทียบกับคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม เทียบกับคะแนนของเพื่อนที่สอบพร้อมกัน หรือเทียบกับคะแนนของนักเรียนเองกับการสอบครั้งก่อนๆ ถ้าคะแนนสูงกว่าเพื่อน
แสดงว่ามีความสามารถในเรื่องที่วัดมากกว่าเพื่อนคนนั้น หรือถ้ามีคะแนนสูงกว่าคะแนนที่ตนเองเคยสอบผ่านมา แสดงว่ามีพัฒนาการขึ้น เป็นต้น
หลักการวัดทางการศึกษา
การวัดทางการศึกษา
มีหลักการเบื้องต้น ดังนี้
1. นิยามสิ่งที่ต้องการวัดให้ชัดเจน ดังที่กล่าวไว้ในลักษณะการวัดว่า
การวัดทางการศึกษาเป็นการวัดทางอ้อม การที่จะวัดให้มีคุณภาพต้องนิยามคุณลักษณะที่ต้องการวัดให้ตรงและชัดเจน การนิยามนี้ มีความสำคัญมาก ถ้านิยามไม่ตรงหรือไม่ถูกต้อง เครื่องมือวัดที่สร้างตามนิยามก็ไม่มีคุณภาพ ผลการวัดก็ผิดพลาด คือ
วัดได้ไม่ตรงกับคุณลักษณะที่ต้องการวัด
2. ใช้เครื่องมือวัดที่มีคุณภาพ หัวใจสำคัญของการวัด
คือ สามารถวัดคุณลักษณะได้ตรงตามกับที่ต้องการวัดและวัดได้แม่นยำ โดยใช้เครื่องมือวัดที่มีคุณภาพ คุณภาพของเครื่องมือมีหลายประการ ที่สำคัญคือ มีความตรง (validity) คือวัดได้ตรงกับคุณลักษณะที่ต้องการวัด
และมีความเที่ยง (reliability) คือวัดได้คงที่
คือวัดได้กี่ครั้งก็ให้ผลการวัดที่ไม่เปลี่ยนแปล
3. กำหนดเงื่อนไขของการวัดให้ชัดเจน คือกำหนดให้แน่นอนว่าจะทำการวัดอะไร วัดอย่างไร กำหนดตัวเลขและสัญลักษณ์อย่างไร
ขั้นตอนการวัดทางการศึกษา
1. ระบุจุดประสงค์และขอบเขตของการวัด ว่าวัดอะไร
วัดใคร
2. นิยามคุณลักษณะที่ต้องการวัดให้เป็นพฤติกรรมที่วัดได้
3. กำหนดวิธีการวัดและเครื่องมือวัด
4. จัดหาหรือสร้างเครื่องมือวัด กรณีสร้างเครื่องมือใหม่ดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้
4.1 สร้างข้อคำถาม เงื่อนไข สถานการณ์ หรือสิ่งเร้า ที่จะกระตุ้นให้ผู้ถูกวัดแสดงพฤติกรรมตอบสนองออกมาเพื่อทำการวัด โดยข้อคำถามเงื่อนไข สถานการณ์ หรือสิ่งเร้าดังกล่าวต้องตรงและครอบคลุมคุณลักษณะที่นิยามไว้
4.2 พิจารณาข้อคำถาม เงื่อนไข สถานการณ์ หรือสิ่งเร้า
โดยอาจให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเนื้อหาและทางด้านวัดผลช่วยพิจารณา
4.3 ทดลองใช้เครื่องมือ กับกลุ่มที่เทียบเคียงกับกลุ่มที่ต้องการวัด
4.4 หาคุณภาพของเครื่องมือ มีคุณภาพรายข้อและคุณภาพ
เครื่องมือทั้งฉบับ
4.5 จัดทำคู่มือวัดและการแปลความหมาย
4.6 จัดทำเครื่องมือฉบับสมบูรณ์
5. ดำเนินการวัดตามวิธีการที่กำหนด
6.
ตรวจสอบและวิเคราะห์ผลการวัด
7.
แปลความหมายผลการวัดและนำผลการวัดไปใช้
การประเมิน
(Evaluation or Assessment or Appraisal)
ความหมาย
การประเมินและการประเมินผล มีความหมายทำนองเดียวกับ การวัดและการวัดผล ดังนี้
การประเมิน เป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการวัด คือ
นำตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่ได้จากการวัดมาตีค่าอย่างมีเหตุผล
โดยเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานที่กำหนดไว้ เช่น
โรงเรียนกำหนดคะแนนที่น่าพอใจของวิชาคณิตศาสตร์ไว้ที่ร้อยละ 60
นักเรียนที่สอบได้คะแนนตั้งแต่ 60 % ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ที่น่าพอใจ หรืออาจจะกำหนดเกณฑ์ไว้หลายระดับ เช่น
ได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 40 อยู่ในเกณฑ์ควรปรับปรุง ร้อยละ 40-59 อยู่ในเกณฑ์พอใช้ ร้อยละ
60-79 อยู่ในเกณฑ์ดี และร้อยละ 80 ขึ้นไป อยู่ในเกณฑ์ดีมาก
เป็นต้น ลักษณะเช่นนี้เรียกว่าเป็นการประเมิน
การประเมินผล มีความหมายเช่นเดียวกับการประเมิน แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการวัดผล
สำหรับภาษาอังกฤษมีหลายคำ ที่ใช้มากมี 2 คำ คือ evaluation และ assessment 2 คำนี้มีความหมายต่างกัน คือ
evaluation เป็นการประเมินตัดสิน มีการกำหนดเกณฑ์ชัดเจน
(absolute criteria) เช่น ได้คะแนนร้อยละ 80
ขึ้นไป ตัดสินว่าอยู่ในระดับดี ได้คะแนนร้อยละ 60 – 79 ตัดสินว่าอยู่ในระดับพอใช้ ได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 60 ตัดสินว่าอยู่ในระดับควรปรับปรุง evaluation จะใช้กับการประเมินการดำเนินงานทั่วๆ ไป เช่น การประเมินโครงการ (Project Evaluation) การประเมินหลักสูตร
(Curriculum Evaluation)
assessment เป็นการประเมินเชิงเปรียบเทียบ ใช้เกณฑ์เชิงสัมพันธ์
(relative criteria) เช่น
เทียบกับผลการประเมินครั้งก่อน เทียบกับเพื่อนหรือกลุ่มใกล้เคียงกัน assessment มักใช้ในการประเมินผลสัมฤทธิ์ เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การประเมินตนเอง (Self
Assessment)
ลักษณะการประเมินทางการศึกษา
การประเมินทางการศึกษามีลักษณะ ดังนี้
1.
เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนการสอนหรือกระบวนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งควรทำการประเมินอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำผลการประเมินไปปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
2.
เป็นการประเมินคุณลักษณะหรือพัฒนาการการเรียนรู้ของผู้เรียนว่าบรรลุตามจุดประสงค์หรือไม่
3.
เป็นการประเมินในภาพรวมทั้งหมดของผู้เรียน
โดยการรวบรวมข้อมูลและประมวลจากตัวเลขจากการวัดหลายวิธีและหลายแหล่ง
4. เป็นกระบวนการเกี่ยวข้องกับบุคลหลายกลุ่ม ทั้งครู นักเรียน ผู้ปกครองนักเรียน ผู้บริหารโรงเรียน
และอาจรวมถึงคณะกรรมการต่างๆ ของโรงเรียน
การทดสอบและการให้เกรด
(Testing and Grading)
การทดสอบเป็นการนําข้อของคําถามที่สร้างขึ้นไปกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมตามที่ต้องการออกมาโดยสามารถสังเกตและวัดได้การทดสอบนี้มักจะใช้ในการวัดและการประเมินผลการเรียนการสอนเป็นส่วนใหญ่โดยใช้แบบทดสอบเป็นเครื่องมือสําคัญแบบทดสอบนี้มีด้วยกันหลายประเภท
แล้วแต่เกณฑ์ที่ ใช้ในการจําแนกซึ่งพอจําแนกได้ดังนี้
1
จําแนกตามลักษณะการกระทํา ได้แก่
1.1
แบบทดสอบแบบให้ลงมือทํากระทํา (Performance
Test) ได้แก่ แบบทดสอบ
ภาคปฏิบัติ
ทั้งหลาย เช่น การทดสอบวิชาพลศึกษา การทดสอบวิชาขับร้องนาฏศิลป์ เป็นต้น
1.2
แบบทดสอบแบบเขียนตอบ (Paper-Pencil Test) ได้แก่การทดสอบที่ให้ผู้สอบต้องเขียนตอบในกระดาษและการใช้การเขียนเป็นเกณฑ์เช่นแบบทดสอบอัตนัยแบบทดสอบความเรียง
เป็นต้น
1.3
แบบทดสอบปากเปล่า (Oral Test) เป็นแบบทดสอบที่ผู้สอบต้องตอบด้วยวาจาแทน
การเขียนตอบหรือการปฏิบัติหรือการปฏิบัติเป็นการเรียกมาซักถามกันตัวต่อตัวเหมือนกับการสอบสัมภาษณ์
แต่เป็นการซักถามเกี่ยวกับเนื้อหาสาระมากกว่าการสอบสัมภาษณ์ปกติ
2
จําแนกตามสมรรถภาพที่ใช้วัด ได้แก่
2.1
แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ (Achievement Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดระดับความรู้ความสามารถและทักษะทางวิชาการที่ได้จากการเรียนรู้แบ่งเป็น
2 ชนิด คือ
2.1.1
แบบทดสอบที่ผู้สอนสร้างเอง (Teach-made
Test) เป็นแบบทดสอบที่สร้าง
ขึ้น
เฉพาะครั้งคราว เพื่อใช้ทดสอบความรู้ความสามารถและทักษะของผู้เรียนในห้องเรียนบางครั้งอาจเรียกว่า
แบบทดสอบชั้นเรียน (Classroom Test) แบบทดสอบชนิดนี้เมื่อสอบเสร็จแล้วมักไม่ใช้อีก และถ้าต้องการ
สอบใหม่ก็จะสร้างใหม่หรือปรับปรุงดัดแปลงของเก่ามาใช้ใหม่อีกครั้ง
2.1.2
แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) เป็นแบบทดสอบที่สร้างและ
ผ่าน
กระบวนการพัฒนาจนมีคุณภาพได้มาตรฐาน
2.2
แบบทดสอบความถนัด (Attitude Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความสามารถทางสมอง (Mental Ability) ที่เกิดจากการสะสมประสบการณ์ต่างๆ
ใช้สําหรับทํานายสมรรถภาพทางสมองว่าสามารถ เรียนไปได้ไกลเพียงไร หรือมีความถนัดไปในทางใด
2.3
แบบทดสอบบุคลิกภาพและสถานภาพทางสังคม (Personal Social Test) เป็นแบบทดสอบที่
จะวัดบุคลิกภาพของคน เช่น เจตคติ ความสนใจ นิสัย ค่านิยม ความเชื่อ การปรับตัว
สถานภาพทางสังคม และสถานภาพทางอารมณ์ เป็นต้น
3.
จําแนกตามลักษณะการตอบ ซึ่งอาจแบ่งได้ 2 ประเภท ได้แก่
3.1
แบบทดสอบความเรียง(EssayTest) เป็นแบบทดสอบที่ให้ผู้ตอบหาคําตอบและเรียบ เรียงคําตอบขึ้นเอง
ผู้ตอบสามารถแสดงความรู้ความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่
3.2
แบบทดสอบปรนัย(ObjectiveTest) เป็นแบบทดสอบที่มุ่งให้ผู้ตอบตอบเพียงสั้นๆ หรือ เลือกคําตอบจากที่กําหนดไว้
แบบทดสอบที่นิยมใช้ในการเรียนการสอน
แบบทดสอบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันหลายชนิดแต่ละชนิดมีจุดมุ่งหมายและความสามารถในการวัดต่างกัน
ดังนั้นการนําแบบทดสอบไปใช้จึงต้องพิจารณาเลือกใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับจุดมุ่งหมายที่นําไปใช้แบบทดสอบที่ใช้กันอยู่ในการเรียนการสอนนั้นเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ผู้สอนสร้างขึ้นเองโดยจําแนกตามลักษณะการตอบเป็น
2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1.
แบบทดสอบอัตนัยหรือความเรียง (Subjective
or Essay Test)
2.
แบบทดสอบปรนัย (Objective Test)
รายละเอียดของแบบทดสอบแต่ละประเภทมีดังนี้
1.
แบบทดสอบอัตนัยหรือความเรียง
เป็นแบบทดสอบที่ให้คําตอบโดยไม่มีขอบเขตของคําตอบที่แน่นอนไว้การตอบใช้การเขียนบรรยายหรือเรียบเรียงคําตอบอย่างอิสระตามความรู้ข้อเท็จจริงตามความคิดเห็นและความสามารถที่มีอยู่โดยไม่มีขอบเขตจํากัดแน่นอนตายตัวที่เด่นชัดนอกจากกําหนดด้วยเวลาการตรวจให้คะแนนไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวส่วนมากมักขึ้นอยู่กับผู้ตรวจสอบเป็นสําคัญแบบทดสอบนี้
ยังแบ่งได้ เป็น 2 แบบดังนี้
1.1
แบบทดสอบจํากัดคําตอบซึ่งจะถามแบบเฉพาะเจาะจงแล้วต้องการคําตอบเฉพาะเรื่อง
ผู้ตอบต้องจัดเรียงลําดับความคิดให้เป็นระเบียบเพื่อให้ตรงประเด็นดังนั้นผู้ออกข้อสอบจึงต้องระมัดระวังใน
เรื่องคําสั่งของโจทย์ ขอบเขตเนื้อหา เวลาในการเขียนตอบ
และความสะดวกในการให้คะแนนได้มากกว่า แบบไม่จํากัดคําตอบ
เพราะแบบทดสอบแบบนี้จะมีเกณฑ์ต่างๆ ที่จะตัดสินคะแนนให้ยุติธรรมมากกว่าแบบ
ไม่จํากัดคําตอบ
นอกจากนี้แบบทดสอบแบบอัตนัยประเภทจํากัดคําตอบนี้ยังตรวจได้ง่ายเพราะคําตอบที่ถูกจะอยู่ในกรอบที่กําหนดไว้ดังนั้นจึงเหมาะสมที่จะนํามาใช้เมื่อมีผู้เข้าสอบเป็นจํานวนมาก
และต้องการดู ความสามารถในการเขียนของผู้ตอบด้วยตัวอย่างเช่น
•จงเบรียบเทียบลักษณะของการปกครองระบอบประชาธิปไตยและการปกครองเนส การ
มาอย่างละ
3 ข้อ
• จงบรรยายขั้นตอนการทําน้ําให้สะอาดให้ครบทุกขั้นตอน ฯลฯ
1.2
แบบทดสอบแบบไม่จํากัดคําตอบหรือแบบขยายความ แบบทดสอบแบบนี้จะถาม
ความรู้ความสามารถต่างๆโดยให้ผู้ตอบแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระซึ่งจะสามารถวัดสมรรถภาพทางความคิด
ริเริ่มสร้างสรรค์ เจตคติ การประเมินค่าได้อย่างกว้างขวาง
ปริมาณและคุณภาพของคําตอบจึงขึ้นอยู่กับคําถาม
และความรู้ที่สะสมไว้ว่ามีอยู่มากน้อยเพียงใด
การกําหนดเวลาในการเขียนตอบจึงต้องกําหนดให้เหมาะสมกับเรื่องที่ต้องการทราบ
แบบทดสอบแบบนี้ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักการรวบรวมความคิดการประเมินค่าและ
การใช้วิธีการต่างๆ ในการแก้ปัญหา ซึ่งแบบทดสอบแบบนี้มีจุดอ่อนอยู่ที่การให้คะแนน
เพราะเป็นการยากที่
จะหาเกณฑ์ในการให้คะแนนได้ถูกต้องและชัดเจนเนื่องจากผู้ตอบมีอิสระในการคิดและเขียนโดยเสรี
ตัวอย่างเช่น
• จงเสนอโครงการในการพัฒนาบุคลิกภาพของนักศึกษาวิชาชีพครูให้มีบุคลิกภาพที่ดี
ตามความคิดเห็นของท่าน
• พุทธศาสนาจะช่วยพัฒนาสังคมได้อย่างไร จงอธิบายพร้อมให้เหตุผลประกอบ ฯลฯ
2.
แบบทดสอบแบบปรนัย แบบทดสอบแบบนี้จะกําหนดคําถามและคําตอบไว้ให้ โดย
ผู้ตอบ
จะต้องอ่านด้วยความพินิจพิจารณาแล้วจึงพิจารณาคําตอบ
แบบทดสอบแบบปรนัยนี้มีลักษณะเด่นที่ผู้ตอบ จะต้องใช้เวลาส่วนมากไปในการอ่านและคิด ส่วนการตอบใช้เวลาน้อย
การตรวจทําได้ง่ายใช้ใครตรวจก็ได้ และสามารถใช้เครื่องสมองกลช่วยตรวจให้ได้
เพราะผลที่ได้จากการตรวจจะไม่แตกต่างกันเลยแบบทดสอบแบบปรนัยนี้มีทั้งให้ผู้ตอบเขียนคําตอบเองกับเลือกคําตอบที่กําหนดให้
โดยมีรายละเอียดดังนี้
2.1
แบบทดสอบเขียนคําตอบ ได้แก่
2.1.1
แบบทดสอบแบบตอบสั้นเป็นข้อสอบที่ผู้ตอบจะต้องหาคําตอบเองแต่เป็นคําตอบสั้นๆเหมาะสําหรับใช้วัดความรู้ความจําเกี่ยวกับคําศัพท์ข้อเท็จจริงหลักการและหลักเกณฑ์ต่างๆ
เป็นการ ให้ระลึกถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น
• ยานอวกาศลําแรกที่ลงบนดวงจันทร์ (ยานอพอลโล่ 11)
• 6+9 จะได้คําตอบเท่าไร (15)
• ป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเขียวชอุ่มตลอดปีเรียกว่าอะไร (ป่าดงดิบ) ฯลฯ
2.1.2 แบบทดสอบแบบเติมคํา มีลักษณะคุณสมบัติและการใช้คําเหมือนกับแบบตอบ
สั้น
ต่างกันที่การถาม
แบบเติมคําจะเว้นช่องว่างไว้ให้เติมคําตอบ ตัวคําถามจะเป็นประโยคไม่สมบูรณ์ แต่แบบ
ตอบสั้นจะเป็นประโยคสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น
• ยานอวกาศลําแรกที่ลงบนดวงจันทร์………(ยานอพอลโล่ 11)
• 6+9 =......................... (15)
• ป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเขียวชอุ่มตลอดปีเรียกว่า ...............
(ป่าดงดิบ)
2.2 ข้อสอบแบบเลือกคําตอบ ได้แก่
2.2.1 ข้อสอบแบบถูก-ผิด
เป็นข้อสอบที่กําหนดให้ผู้ตอบเลือกคําตอบว่าข้อความที่
กําหนดให้นั้นถูกหรือผิดเท่านั้น
ข้อสอบแบบนี้เหมาะสําหรับวัดผลการเรียนรู้ระดับความรู้ความจําลักษณะ
เช่นเดียวกับแบบตอบสั้น คือ สร้างความง่ายผู้ตอบเสียเวลาตอบน้อย วัดเนื้อหาได้มาก
มักมีค่าความเที่ยงสูง แต่เปิดโอกาสให้เดาได้มาก ตัวอย่างเช่น
• ลายเสือไท
ถือว่าเป็นมรดกอันยิ่งใหญ่ทางวัฒนธรรม •ตําบลเป็นหน่วยการ
ปกครองที่เล็กที่สุด
• ผิวพื้นที่ขรุขระจะมีแรงเสียดทานน้อยกว่าผิวพื้นที่เรียบ
ฯลฯ
2.2.2
ข้อสอบแบบจับคู่ เป็นข้อสอบให้เลือกจับคู่ระหว่างคําหรือข้อความสองแถว ให้คํา
หรือข้อความทั้งสองนั้นสอดคล้องกัน
โดยมากมักจะใช้ข้อความว่ามีความหมายตรงกัน ข้อสอบชนิดนี้เหมาะ
สําหรับวัดความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงคําศัพท์ หลักการ ความสัมพันธ์
และการตีความในเรื่องเดียวกัน ตัวอย่างเช่น
•...............ก. ไม้กระดานที่พาดเอียงกับขอบรถ 1. ขวาน
•...............ข. เครื่องผ่อนแรงที่ใช้ยกรถ 2. คานดีด คานงัด
•...............ค. เครื่องมือผ่อนแรงในการตัดต้นไม้ 3. แม่แรง
•...............ง. เครื่องมือผ่อนแรงในการยกของพื้นที่สูง 4.รอก
•................จ. ไม้กระดานกระดก 5. พื้นลาด พื้นเอียง
2.2.3
แบบทดสอบแบบเลือกตอบ เป็นข้อสอบที่บังคับให้ผู้ตอบเลือกคําตอบจากที่
กําหนดให้
ปกติจะมีคําตอบให้เลือกตั้งแต่ 3 ตัวเลือกขึ้นไป แต่มักไม่เกิน 6 ตัวเลือก
ข้อสอบชนิดนี้นิยมใช้กัน ทั่วไป ใช้วัดผลการเรียนรู้ได้เกือบทุกระดับ
แม้จะสร้างความยากต้องเสียเวลาสร้างมาก แต่คุ้มกับแรงงานและ เวลาที่เสียไป
เพราะสามารถเก็บไว้ใช้ได้ต่อไป ตัวอย่างเช่น
•What color is the tree?
a.
Pink b.
Purple C. Green
• พ่อขุนศรีอินทราทิตย์มีพระนามเดิมว่าอย่างไร
ก.
พ่อขุนบางกลางหาว ข. พ่อขุนศรีนาวนําถม
ค.
พ่อขุนผาเมือง ง. พ่อขุนบานเมือง
กล่าวโดยสรุปแล้วแบบทดสอบหรือข้อสอบที่นิยมใช้ในการเรียนการสอนทั้ง
แบบทดสอบ
แบบอัตนัยหรือความเรียง
และแบบทดสอบแบบปรนัยต่างมีข้อดีและข้อจํากัดด้วย
ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่นําไปใช้ตามตารางที่ 23 ดังนี้
สรุป
การประเมินผลเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน จะทําให้ทั้งผู้สอนและผู้เรียนปรับปรุงตนเองอยู่ เสมอ เพราะการประเมินผลเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนอาศัยการประเมินตัวต่อตัว ประเมินกลุ่มย่อยและ การทดลองภาคสนาม การออกแบบการเรียนการสอนจะทําให้การประเมินในลักษณะนี้มีความชัดเจนขึ้น และใช้การประเมินแบบอิงเกณฑ์ โดยประเมินผู้เรียนแต่ละคนเปรียบเทียบกับจุดประสงค์ หรือจุดหมายและ ระดับคุณภาพ(เกณฑ์ที่กําหนดไว้นอกจากนี้ยังเป็นการเสริมสร้างนิสัยที่พึงปรารถนา ให้แก่ผู้เรียนอีกด้วย ที่ จัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือกันเป็นพื้นฐานแล้ว ผู้เรียนจะติดนิสัยการให้ความร่วมมือกัน จะทําให้ สังคมได้เยาวชน และผู้ประกอบวิชาชีพในสาขาต่างๆ ที่เห็นแก่ส่วนรวม มีความเป็นประชาธิปไตย ยอมรับ ความคิดเห็น และปฏิบัติตามมติของกลุ่ม แม้ว่าตนเองจะไม่เห็นด้วย รู้จักช่วยให้กลุ่มประสบความสําเร็จใน งาน เพราะงานบางอย่าง บางประเภท ไม่อาจทําสําเร็จได้โดยลําพังผู้เดียว ต้องอาศัยความร่วมมือช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน ส่วนกลุ่มที่มีการแข่งขันกันนั้นควรจะเป็นการเสริมแรงทางบวก คือ การแข่งขันกับตนเอง เพื่อที่จะเอาชนะใจตนเอง มีวินัยในตนเอง และพัฒนาตนเองในที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น