บทที่ 5 การเรียนรู้จากสื่อดิจิทัล (Digital Learning)
D: การเรียนรู้จากสื่อดิจิทัล (Digital Learning)
การเรียนรู้จากสื่อดิจิทัลเป็นการเรียนรู้ผ่าน เช่น เครือข่ายสังคมออนไลน์ Social
networking) การแชร์ภาพ และการใช้อินเทอร์เน็ตแบบเคลื่อนที่
การเรียนรู้จากสื่อดิจิทัลมีนัยมากกว่าการรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
แต่ยังครอบคลุมถึงประเด็นเกี่ยวกับเนื้อหา (content)
จริยธรรม สังคม และการสะท้อน (Relection)
ซึ่งตั้งอยู่ในการเรียนรู้ การทำ และชีวิตประจำวัน
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต 2546 : 9 – 10) กล่าวว่า สังคมข่าวสารข้อมูลหรือสังคมสารส
โลกมีข่าวสารข้อมูลแพร่กระจายกว้างขวางทั่วถึงรวดเร็วมาก ก็คิดว่าคนจะฉลาด คนจะมีปัญญา
จะเข้าสู่ยะ แห่งปัญญา แต่ที่จริงการมีข้อมูลข่าวสารมากไม่จำเป็นต้องทำให้คนมีสติปัญญา
หากว่าไม่พัฒนาคนให้รู้จัก รับและใช้ข้อมูลนั้น และกล่าวสรุปไว้ว่าจำแนกคนได้เป็นสามประเภท
ดังนี้ 1. กลุ่มที่ตกเป็นเหยื่อ ในกรณีที่คนไม่พัฒนาสติปัญญาอย่างถูกต้องให้สามารถเข้าถึงข้อมูลอย่าง
แท้จริง และสามารถถือเอาประโยชน์จากข่าวสารข้อมูลได้ก็จะเป็นโทษอย่างมาก
ข่าวสารข้อมูลจะกลายเป็น เครื่องมือก่อสร้างและหลอกลวง ทำให้คนเป็นเหยื่อ 2 กลุ่มที่รู้เท่าทัน คนจำนวนมากมีความภาคภูมิใจว่าตนตามทันข่าวสารข้อมูล
มีข่าวสารข้อมูล อะไรออกมาก็ตามทันหมด ปรากฏว่าตามทันเท่านั้น แต่ไม่รู้เท่าทัน
และก็ถูกกระแสข่าวสารข้อมูลท่วมทับ พัดพาไป กรณีเช่นนี้ถ้ามีปัญญารู้เท่าทันก็จะทำให้ดำรงอยู่ท่ามกลางกระแสได้
เป็นผู้ที่ยืนหยัดตั้งหลักอยู่ได้ 3.
กลุ่มที่อยู่เหนือกระแส การรู้เท่าทันยังไม่พอ ควรที่จะสามารถทำได้ดีกว่านั้นอีกคือขึ้นไปอยู่
เหนือกระแส เป็นผู้ที่สามารถนำเอาข้อมูลข่าวสารมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างแท้จริง
คนกลุ่มนี้สามารถ จัดการกับกระแส โดยทำการเปลี่ยนแปลงในกระแสหรือนำกระแสให้เดินไปในทิศทางใหม่ที่ถูกต้อง
ศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยีการศึกษาทางไกล สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ ( http://www.dlthailand.com/thima-khxng-khongkar)
อ้างอิงงานวิจัยของ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยว่าสาเหตุหลักส่วนหนึ่งของปัญหา
คุณภาพการศึกษาไทย คือ การที่
ระบบการศึกษาของไทยในปัจจุบันเป็นระบบที่ไม่เอื้อต่อการสร้าง ความรับผิดชอบ (Accountability) หลักสูตรและตำราเรียนของไทยไม่สอดคล้องกับ การพัฒนาทักษะแห่ง ศตวรรษที่ 21 (21st Cen ซึ่งมีผลทำให้การเรียนการสอน
ตลอดไปจนถึงการทดสอบยังคงเน้น การจดจำเนื้อหามากกว่าการเรียนเพื่อให้
มีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง อีกทั้งสภาพการจัดการศึกษาของ
ประเทศไทยในปัจจุบัน กำลังประสบปัญหา
ในด้านคุณภาพของนักเรียน
ปรากฏอยู่ในหลายพื้นที่ ซึ่งมีสาเหตุจาก
การขาดครูหรือครูไม่ครบชั้นไม่สาระการเรียนรู้ครูมีประสบการณ์หรือทักษะการจัดการเรียนรู้น้อย
ขาดสื่อ อุปกรณ์ที่ทันสมัยและการเข้าถึงได้ลำบาก
ครูมีเวลาในการจัดการเรียนการสอนน้อย กิจกรรมของโรงเรียนมีมาก
ทรัพยากรที่มีกระจัดกระจายไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า
และการแก้ปัญหาต่าง ๆ ก็ทำได้ในวงจํากัด
กระทรวงศึกษาธิการ
ได้จัดทำโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมีกิจกรรมหลัก
คือการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยีการศึกษาทางไกลโดยแบ่งเป็น 2 กิจกรรมย่อย เสือ
การพัฒนาคุณภาพการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) และ
การพัฒนาคุณภาพการศึกษาทางไกล ปานเทคโนโลยีสารสนเทศ (DLIT)
การพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยีทางไกล (Distance 1.ins) เป็นการจัดการศึกษาที่ใช้เทคโนโลยี
ในการจัดการเรียนการสอนในทุกห้องเรียน แก้ปัญหาการ ขาดแคลนครู ในโรงเรียนขนาดเล็ก
ครูสามารถจัดการเรียนรู้ในทุกสาระได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักเรียนและ ครูได้เข้าถึง
สื่อเทคโนโลยีที่ทันสมัย นักเรียนและครูมีเครือข่ายในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
และทุกภาคส่วนเข้า มามีส่วนร่วม ในการจัดการศึกษา การนำเทคโนโลยีการศึกษาทางไกล (Distance
Learning) มายกระดับ คุณภาพการศึกษา เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ การจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (Distance
Learning Television : DLTV)
และการจัดการศึกษาทางไกลผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ (Distance Learning via
Information Technology ; DLIT) มาดำเนินงานโดยเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษา
โดยมีการจัด สภาพการสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน ของครูอย่างครบถ้วน
ทั้งกระบวนการออกแบบกิจกรรมการ เรียนการสอนที่เน้น กระบวนการสร้างความรู้
จากการลงมือปฏิบัติ เนื้อหา ตลอดจนสื่อและอุปกรณ์ที่จำเป็น ในการจัดเรียนการสอน
อันจะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ลดช่องว่างและเพิ่มโอกาสในการ
เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพให้กับ ประชาชนไทยทุกคน อันเป็นการดำเนินการตามรอยเบื้องพระยุคลบาท
และสนองพระราชดำริในการที่จะพัฒนาการศึกษาไทยให้เจริญก้าวหน้าเศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
(การศึกษาจะถูกเปลี่ยนในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล บทความไอที 24 ชั่วโมง วันที่: 25 พฤศจิกายน 2016) ได้เสนอบทความเรื่อง การศึกษาจะถูกเปลี่ยนในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
สรุปความว่า เทคโนโลยีที่โดดเด่นที่กำลังทำให้สิ่งของทุกสรรพสิ่งบนโลกสามารถเชื่อมต่อกันได้
นั้นคือ Internet of Everything (IoE) IoE จะสร้างสภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้
ที่มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน มากกว่าในอดีตที่ผ่านมา เช่น
นักศึกษาที่อาศัยอยู่ในลอนดอนสามารถร่วมรับฟังการบรรยายจาก
สถาบันการศึกษาในสหรัฐอเมริกาได้ โดยอาศัยอุปกรณ์สื่อสารที่ทำให้ระยะทางไม่เป็นอุปสรรคในการเรียน
โดยข้อมูลการเรียนรู้และข้อมูลทั้งหมดจะพร้อมให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดได้ตลอดเวลาข้อมูล
และสื่อการสอนต่าง ๆ ที่มีอยู่จะถูกนำมาใช้ร่วมกันในรูปแบบใหม่
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่จะส่งผลกระทบต่อ “วิธีการ” และ “สถานที่”
ที่ใช้ในการเรียนรู้ ดังนั้นผู้เรียนจะต้องเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ต้องการเรียนรู้
เศรษฐกิจ - ที่เชื่องฟูทำให้ IoE มีความจำเป็นมากกว่าทักษะและจำนวนของผู้เชี่ยวชาญ
อีกทั้งการเชื่อมต่อที่เกิดขึ้นโดย lots จะทำให้อุปกรณ์สามารถนำมาใช้ประเมินประสิทธิภาพของผู้เรียน
แบบทดสอบเพื่อทดสอบจุดอ่อนและจุดแข็งของผู้เรียน และ นอกจากนี้ loE ยังสามารถเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ของผู้มีความบกพร่องทางร่างกายและทางสติปัญญา
เช่น 1 ประเทศออสเตรเลีย นำเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ไปใช้ในโรงเรียนสอนผู้มีความบกพร่องทางร่างกาย
โดยของผู้เรียน และใช้ในการปรับปรุงการเรียนรู้สำหรับ เซ็นเซอร์จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนรู้ภาษามือของผู้เรียน
และใช้ในการ ผู้เรียนสมาธิสั้น โดยการตรวจเช็คการทำงานของสมองและการให้รางวัลสำหรับผู้เรียนที่มีพัฒนาการเรียนที่ดีขึ้น คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปก สำนกงานเลขาธิการสภาการศึกษา
ข่าว ประชาสัมพันธ์ วันที่4 พฤษภาคม 2561) ได้นำเสนอ Digital Learning Platform แนวทางการจัดการเรียนการ
สอนผ่านระบบออนไลน์และการใช้สื่อดิจิทัลเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ณ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
สรุปได้ว่า ในเรื่องของการศึกษา สิ่งแรกที่ต้องกระทำคือปรับกระบวนทัศน์ (Paradigm) ให้ชัดเจน ชัยชนะจะ เกิดขึ้นได้อยู่ที่ Big data ซึ่ง Big data ในที่นี่ความหมายที่ถูกต้องคือ
ข้อมูลที่เอามาวิเคราะห์และเอาไปใช้ ประโยชน์ในการบริหาร ได้โดยสะดวก
ไม่ใช่หมายถึงข้อมูลจำนวนมากที่จัดเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์แม่ ข่าย นอกจาก Big
data แล้ว จิตวิทยาในการจัดการศึกษาเป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้
ต้องออกแบบในสิ่งที่ผู้เรียน อยากเรียน ไม่ใช่ออกแบบอย่างที่เราต้องการ
ต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายใน เพราะที่ผ่านมาไม่ค่อยให้ ความสนใจกับผู้ใช้ (User) และผู้เรียน (Learner) กระทรวงศึกษาธิการต้องตั้งโจทย์ว่าผู้เรียนอยากรู้อะไรที่ไม่
เคยรู้และไม่เคยคิดว่าจะมีทางทำได้ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านสำคัญ 5 ด้าน ได้แก่
1) Digital Infrastructure การวางระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล
ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อ เศรษฐกิจและสังคมได้ดำเนินการโครงการเน็ตประชารัฐเข้าถึงพื้นที่ระดับชุมชน 2) คนกับดิจิทัล ต้องมีการสร้างคนในระดับต่าง ๆ
การศึกษาต้องจับคู่กับความต้องการของด้าน แรงงานให้เหมาะสม ว่ามีความต้องการคนทำงานที่มีคุณสมบัติอย่างไร
และด้านใดบ้าง เพราะจะเห็นได้ว่าใน บางธุรกิจเช่นธุรกิจธนาคาร หรือบางอุตสาหกรรม
คนเริ่มถูก AI เข้ามาแทนที่แล้ว 3) Big Data ในภาครัฐ
ต้องมีการบูรณาการข้อมูลระหว่างกระทรวงเพื่อนำมาวิเคราะห์ ออกแบบ
และวางแผนทางด้านนโยบายต่างๆ เช่น การเชื่อมโยงข้อมูลการผลิตกำลังคนในระบบการศึกษา
ตอบโจทย์ความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรม เป็นต้น 4) Cyber
Security ต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของระบบสารสนเทศ 5) Internet of Things (IoT) มหาวิทยาลัยต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยี IOT อย่างเร่งด่วน
อติพร เกิดเรือง (2560) ได้เสนอผลการศึกษาเรื่อง
การส่งเสริมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เพื่อ
รองรับสังคมไทยในยุคดิจิทัล (วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง 173 - 184) สรปดังนี้ 1 กาะ ในศตวรรษที่ 21 เพื่อรองรับสังคมในยุคดิจิทัล
มี 4 องค์ประกอบหลัก คือ 1) การเรียนรู้เกี่ยวกับดิจิทัล 2) การ
สร้างสรรค์ 3)
การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และ 4)
ผลิตภาพที่มีคุณภาพสูง 2. การเรียนรู้จากยุคเดิมสู่ยุค
คาง ต้องจัดการเรียนรู้ ที่คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเรียน การทำงาน และการดำรงชีวิต
เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ส่งเสริมการค้นคว้าด้วยตนเองโดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยใน
การจัดการเรียนรู้ให้ มากที่สุด ผู้สอนเป็นผู้ชี้แนะแนวทางในการเรียนรู้ตามหลักสูตร
และการวัดผลและประเมินผลพัฒนาการ มากกว่าการวัดผลสัมฤทธิ์ 3. การจัดการศึกษาในยุคดิจิทัล ต้องคำนึงถึงการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
เป็นการสร้างสรรค์ปรับแต่ง การเรียนรู้การคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน
เน้นการใช้เครือข่าย ออนไลน์ การจัดการเรียนรู้สร้างสถานการณ์ จำลองให้ผู้เรียนพบประสบการณ์จริง
เนื้อหาการเรียนรู้ควรมี การแลกเปลี่ยนเรียนรู้บนเครือข่ายออนไลน์
สามารถสร้างองค์ความรู้ แบ่งปันความรู้และเนื้อหาผ่านเครือข่าย
ออนไลน์และส่งเสริมความรู้ในโลกแห่งการทำงานมากขึ้น
การเลือกและพัฒนาสื่อการเรียนการสอน
คำว่า สื่อ มีความหมายกว้างมาก การเรียนการสอนในบางครั้งอาจเกิดขึ้นจากเสียงของผู้สอน
ตำรา เทป วีดีทัศน์ ภาพยนตร์ และคอมพิวเตอร์ medium หรือ media มาจากภาษาลาติน หมายถึง
บางสิ่งบางอย่างที่ อยู่ตรงกลาง (Intermediate หรือ middle) หรือเครื่องมือ (instrument)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นวิธีการของการ สื่อสารที่ส่งไปถึงประชาชน
เป็นพาหนะของการโฆษณา (Guralinitjv07, 1970) ดังนั้น
เมื่อพิจารณาในด้าน ของการสื่อสารแล้ว สื่อจึงหมายถึง สิ่งที่เป็นพาหนะนำความรู้หรือสารสนเทศจากแหล่งกำเนิดไปสู่ผู้รับ
เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ รูปภาพ วัสดุฉาย สิ่งพิมพ์ และสิ่งดังกล่าวนี้
เมื่อนำมาใช้กับการเรียนการสอน เรา เรียกว่าสื่อการเรียนการสอนกลวิธีการสอนและการตัดสินใจเลือกสื่อ
เป็นความสัมพันธ์ระหว่างกัน และควรจะทำไปพร้อมกัน หลังจากที่ได้มีการกำหนดจุดหมายและวิเคราะห์ภาระงานแล้ว
แบบจำลองในการเลือกสื่อมีทั้งแบบที่มีความ เรียบง่าย และแบบที่มีความซับซ้อน
โรเบิร์ต เมเจอร์ (Robert Mager) (Knirk and
Gustafson, 1986 : 169) ผู้ซึ่ง
เป็นนักออกแบบการสอน เพื่อการค้าที่ประสบความสำเร็จ ได้กล่าวว่า
กระดาษเป็นตัวกลางอย่างหนึ่งของการ เลือก
นอกจากว่าในกรณีที่ดีที่จะสามารถเลือกใช้สิ่งที่ทำจากอย่างอื่น
วัสดุที่เป็นกระดาษมีราคาแพงในการ ออกแบบและผลิต ง่ายที่จะผลิตเพิ่มใช้ง่าย
และนักเขียนส่วนใหญ่มีความเข้าใจ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างของ แบบจำลองง่ายๆ สำหรับการเลือกสื่อ
ส่วนแบบจำลองที่ซับซ้อนเป็นวิธีการที่ส่วนใหญ่ควรจะหลีกเลี่ยง เท่าที่จะเป็นไปได้
เมื่อเปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์ของทหาร ก็คือ อย่าโง่เลย ทำให้ดูง่ายๆ เถอะ (KISS : Keep It Simple, stupid)
การนำเสนอสื่อการเรียนการสอน
ควรเป็นการกระตุ้นทางการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ง่าย แก่การเข้าใจ
สื่อที่ซับซ้อนมีแนวโน้มของการสิ้นเปลืองเวลาและค่าใช้จ่ายสูงและบ่อยครั้งพิสูจน์ได้ว่ามี
ประสิทธิภาพและเชื่อถือ
ไม่ได้ ควรใช้สื่อการเรียนการสอนที่ถูกที่สุดที่ทำให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ตาม
เจตนารมณ์ภายในระยะเวลาที่สมเหตุสมผล อย่างไรก็ตามข้อควรจำ คือ
การสื่อราคาย่อมเยาที่ผลิตไม่ส การเรียนการสอนไม่มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับการใช้สื่อที่ซับซ้อนดังกล่าวแล้วเช่นกัน การเลือกและการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน
เป็นเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งในกระบวนการ ออกแบบการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ
นักออกแบบการเรียนการสอนต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการ วิธีการเสื่อ หรือเลือกวิธีการ
เลือกวัสดุอุปกรณ์ ระบุประโยชน์ของวัสดุอุปกรณ์ทางการค้าริเริ่มและเฝ้าระวัง
กระบวนการผลิตสื่อ นักออกแบบอาจจะทำเพียงการวางแผนมโนทัศน์ สคริปและนานา อ
อาจจะผลิตวัสดุ (software) สำหรับจำหน่ายความจํากัดสำหรับบทบาทของผู้ออกแบบในการตัดสินใจ
เกี่ยวกับวิธี/สื่อ จะหลากหลายไปตามสถานการณ์ และแม้ว่าจะมีวิธีการหลายวิธีในการจำแนกสื่อเป็น
ประเภทๆ ก็ตาม ก็ยังไม่มีอนุกรมภิธานสื่อ (taxonomy of media)
ที่พัฒนาขึ้นจนเป็นที่น่าพอใจ (Seels and Glasgow, 1990 : 179)
ในบทนี้จึงเป็นการเสนอสื่อ 3 ประเภท คือ
วิธีการ สื่อดั้งเดิม เทคโนโลยีใหม่หรือสื่อดิจิทัล ภายใน
แต่ละประเภทจะมีทางเลือกและรูปแบบมาก เช่น กราฟฟิก และฟิล์ม
หรือโทรทัศน์เฉพาะกราฟิกก็มีหลาย รูปแบบ ได้แก่ แผนภูมิ การ์ตูน
และภาพประกอบการเลือกวิธีการสื่อ อยู่บนพื้นฐานของเกณฑ์จะมีความ เหมาะสมสำหรับผู้เรียนสิ่งที่เรียนและข้อจํากัดคุณลักษณะของผู้เรียน
จุดประสงค์ สถานการณ์การเรียนรู้ และ ข้อจํากัดนั้นต้องระบุขึ้นก่อนที่จะเลือกวิธีการและสื่อหลังจากที่ได้มีการระบุวิธีการสื่อแล้วผู้ออกแบบต้อง
แสวงหาสื่อจากดัชนีสื่อจากสื่อที่สร้างขึ้นเพื่อการค้าซึ่งสามารถที่จะนำมาใช้หรือนำมาปรับใช้ได้ถ้าสื่อ
เหล่านั้นไม่มีประโยชน์ก็ต้องผลิตสื่อขึ้นเองผู้ออกแบบการเรียนการสอนต้องตัดสินใจว่าใครจะเป็นผู้ผลิตสื่อ
ทีมในการผลิตควรจะประกอบ ไปด้วยใครบ้าง ผู้ออกแบบต้องริเริ่ม
เฝ้าระวังติดตามกระบวนการผลิต เป็นความรับผิดชอบของผู้ออกแบบที่ จะต้องมีความแน่ใจในบูรณาการภาพของการออกแบบและคุณภาพของวัสดุอุปกรณ์ด้วยการเฝ้าระวังติดตาม
การผลิต
ประเภทของสื่อ
สื่อสามารถจำแนกได้สี่ ประเภท คือ สือทางหู (audio)
ทางตา (visual) ทางหูและทางตารวมกัน (audio- isual) และสัมผัส (tactile) ผู้ออกแบบสามารถเลือกสื่อที่เหมาะสมที่สุดจากประเภทของสื่อต่างๆ
สาหรับภาระงานการเรียนการสอนที่มีความเฉพาะเจาะจงสื่อต่าง ๆ ทั้ง 4 ประเภทและตัวอย่างที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้
1. สื่อทางหู ได้แก่ เสียงของผู้ฝึก
ห้องปฏิบัติการทางเสียง การเตรียมเทปสำหรับผู้ฝึกเทป แผ่นเสียงวิทยุกระจายเสียง
2. สื่อทางตา ได้แก่ กระดานชอล์ก กระดานแม่เหล็ก กราฟ คอมพิวเตอร์
วัตถุต่างๆ ที่เป็นของ โดาพ แผนภูมิ กราฟภาพถ่าย หุ่นจำลอง สิ่งที่ครูแจกให้
หนังสือ ฟิล์ม สไลด์ แผ่นใส่
3. สื่อทางหูและทางตา ได้แก่ เทปวีดิโอ ทีวีวงจรปิด โปรแกรมโสตทัศนวัสดุ
สไลด์ เทป คนตร์เสียงในฟิล์ม ทีวีทั่วไป เทคโนโลยีอื่นๆ เช่น ดิจิทัล วีดิโอ
อินเตอร์แอคทิฟเทคโนโลยี (digital
video
interactive technology)
4. สื่อทางสัมผัส ได้แก่ วัตถุของจริงแบบจำลองในการทำงาน เช่น
ผู้แสดงสถานการณ์จำลอง
ข้อดีและข้อเสียของสื่อบางประเภท
ในการเลือกสื่อที่มีความเหมาะสมที่สุดสำหรับภาระงานการเรียนรู้ที่มีความเฉพาะเจาะจง
ออกแบบจำเป็นต้องรู้ถึงความเป็นไปได้ในข้อดีและข้อเสียที่เกี่ยวข้องกับสื่อแต่ละประเภท
ตารางที่ 16 จะ
แสดงให้เห็นถึงข้อดีและข้อเสียของตัวอย่างสื่อจากประเภทของสื่อสำคัญ 4 ประเภทและตารางที่ 17 แสดง
ประเภทและคุณสมบัติของสื่อการเรียนการสอน
การตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการและสื่อ
การตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการและสื่อ บางครั้งเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน
ในบางเวลาจะเลือกวิธีการก่อน และเลือกสื่อที่จำเป็นในการใช้ที่หลัง ดูแกน เลียด (Dugan
laird:180)
เปรียบเทียบวิธีการว่าเป็นเหมือนทาง หลวง (highway) ที่นำไปสู่จุดหมายปลายทาง
(จุดประสงค์) และสื่อ (วัสดุฝึก) เป็นสิ่งที่เพิ่มเติม (accessories) บนทางหลวง เช่น สัญญาณ แผนที่ ซึ่งทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น
วิธีการ เป็นกลยุทธ์การเรียนการสอนที่มีระดับความชี้เฉพาะมาก
เป็นวิธีการเรียนการสอนที่ตัดสิน ธรรมชาติของบทเรียน Joyce and
Weil (1980) เรียกสิ่งเหล่านี้ว่าแบบจำลองการสอน
(model of teaching) แบบจำลองเป็นวิธีการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ในระดับบทเรียนมากกว่าที่จะเป็นระดับหน่วยใน
หลักสูตร
ตารางที่ 16 ข้อดีและข้อเสียของสื่อบางอย่าง
สื่อ
|
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
|||
โสตวัสดุ
|
|||||
1.เทป
|
• จูงใจ • ใช้กับกลุ่มใหญ่ได้ • ใช้ได้ทั้งที่บ้าน ที่ทำงานและในชั้นเรียน • สามารถก็อปปี้ได้ • ง่ายในการเก็บรักษา
|
• ก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย • ไม่มีการให้ผลป้อนกลับในการเรียนการสอน •ใช้เวลาในการกรอเทปกลับ • สามารถถูกทำลาย ฉีกขาดเสียหายได้ • หน่วยที่จะกรอเทปกลับอาจจะไม่ว่าง
|
|||
สื่อ
|
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
|||
2.คำแนะนำของผู้ฝึก
|
•
เผชิญหน้ากัน • ให้ผลป้อนกลับที่ดีกว่า
|
•
ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง • เป็นระบบไปรษณีย์ที่สั้นๆ
|
|||
3.โทรทัศน์
|
•
ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง • เป็นระบบไปรษณีย์ที่สั้น
|
• สิ้นเปลือง • เครื่องมือพัง
|
|||
ทัศนพัสดุ
|
|||||
1.ภาพพลิก (Flip Charts)
|
• ราคาถูก • เก็บสารสนเทศได้ • เคลื่อนย้ายได้ • เปลี่ยนสารสนเทศได้ เช่น การพิมพ์ • นำเสนอบทเรียนได้ • ไม่จํากัดว่าใช้กับคนคนเดียว
|
• ครูจำเป็นต้องนำเสนอด้วยการเขียนที่สวย • จํากัดขนาด • สารสนเทศมากเกินไป • กินเวลามาก • ยากที่จะแสดงทัศนะ
|
|||
2. สิ่งที่ครูแจก
|
• ราคาถูก • เป็นการอ้างอิงที่ถาวร • ช่วยในการทบทวน จดจำ • ช่วยนักเรียนที่ไม่ได้เข้าชั้นเรียน • ให้การอ้างอิงที่ค้นคว้าได้ในห้องสมุด • นำปสู่พัฒนาการก้าวต่อไปของนักเรียน • เป็นข้อแนะนำในการศึกษา • ทำให้นักเรียนมีส่วนร่วม • ใช้ได้กับนักเรียนทุกคน เช่น ภาษาระยะทาง และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง • สามารถสรุปให้เห็นภาพทั้งหมดได้
|
• ราคาอาจแพง • กราฟฟิก (สองมิติ) • นักเรียนอาจไม่ได้รับการบังคับให้อ่าน • ก่อให้เกิดการเรียนรู้แบบเฉื่อยชา • สารสนเทศล้าสมัย
|
|||
3. กระดาษคำพื้นฐาน กระดานขาวตายตัว
|
•
ให้สารสนเทศที่ลอกได้ • เห็นได้ • ราคาถูก • ให้สีหลากหลายได้ • ยอมให้กลุ่มมีส่วนร่วมได้ •ขั้นตอนมีเหตุมีผล •สามารถเปลี่ยนแปลงได้
|
•
จํากัดขนาดของปากกา • ชอล์กทำให้เลอะเทอะ •ใช้เวลามากในการเขียน • บางคนเขียนไม่สวย • สองมิติ • สารสนเทศไม่สัมพันธ์กัน • สารสนเทศขาคตอนได้โดยไม่ได้ตั้งใจ
|
|||
สื่อ
|
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
4.กระดาษขาวและกระดาษคำที่ตายตัว
|
• ให้ข้อมูลที่กว้างขวาง • ยอมให้เก็บข้อมูลชิงตรรกได้ • ยอมให้มีการเก็บสารสนเทศที่มีเหตุผล • ยอมให้เขียนสารสนเทศไว้ก่อนได้ • ซ่อนและโยงความสัมพันธ์ของสารสนเทศได้ • ผู้สอนนักเรียนช่วยกันให้ความคิดสารสนเทศได้
|
•
ไม่สามสรถเคลื่อนย้ายได้
|
5. กระคานคําที่ใช้แม่เหล็ก Magnetic or FeltBoard
|
•
เคลื่อนย้ายแบบจําลองได้ • สร้างสารสนเทศใหม่ได้
|
•
ไม่ใช่ของจริง • จํากัดกลุ่มผู้มีส่วนร่วม
|
6 การผสมผสานกระ ดานตายตัวต่างๆ (Fixed Baard to the above)
|
• เหมือนข้อ 5
|
•
ต้องการผู้สอนที่มีทักษะ • จัดการจัดห้องเรียน •นักเรียนสามารถมองได้เพียงด้านเดียว
|
7.การสาธิต(Demonstration)
|
•
ประหยัดเวลาและการพูด • ง่ายในการเฝ้าดูมากกว่าการฟัง • เห็นของจริง • มาตรฐานการสาธิต
|
•
ต้องการผู้สอนที่มีทักษะ • นักเรียนไม่มีส่วนร่วม • นักเรียนอาจไม่รู้ว่าต้องสังเกตอะไร • นักเรียนอาจมีความเข้าใจช้าหรือไม่เข้าใจเลย
|
8.คอมพิวเตอร์ช่วยสอน(Computer Assisted Instruction)
|
•
เสริมแรงบ่อยครั้ง • ทําให้เกิดการเรียนรู้แบบว่องไว • นักเรียนประสบความสําเร็จ • มีปฏิสัมพันธ์กับสื่ออื่นๆ • ผิดพลาดน้อย
|
•
ถ้าปราศจากการออกแบบที่ดีก็จะก่อให้เกิดความเบื่อ หน่าย • หนึ่งร้อยชั่วโมงที่ใช้ในการออกแบบผลิตงานได้ เพียงหนึ่งชั่วโมง •เสียค่าใช้จ่ายสูง ทักษะที่จะใช้คีย์บอร์ดนักเรียนต้อง พัฒนาเอง • ไม่ได้เหมาะกับนักเรียนทุกคน
|
โสตทัศนะ
|
||
1.ฟิล์มวีดิโอ (Film/Video)
|
•
สามารถแสดงพัฒนาการของ วิธีการ หรือการปฏิบัติ • ผสมผสานทัศนะคําพูดและเสียงอื่นเข้าด้วยกัน •เปลี่ยนเวลาได้ • สนุกสนาน
• จูงใจ
|
• นักเรียน
ไม่มีส่วนร่วม • แพง • โดยทั่วไปสร้างขึ้นจากจุดประสงค์ ของคนอื่น
|
สื่อ
|
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
สิ่งที่รับรู้ด้วยการสัมผัส(Tactile)
|
||
1.ตัวจําลองสถานการณ์ (Simulator
|
•
อนุญาตสําหรับผู้มีทักษะของความเป็นจริง • ใช้สําหรับการสาธิต • ประโยชน์คุ้มค่า • แก้ไขวิธีการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง • ยอมให้มีการวิเคราะห์ • ยอมให้นักเรียนมีส่วนร่วม • ปลอดภัย
|
• จํากัดโปรแกรม • ต้องการคนที่มีทักษะความสามารถสูง • ต้องการการนิเทศอย่างใกล้ชิด
|
2.อินเตอร์แอคทิฟวีดิโอ/
คอมพิวเตอร์ (Interactive
Video/ Computer)
|
• เหมือนกับCAI • แบบจําลองทัศนะ/การสาธิต • จูงใจ
|
•
ยากที่จะสร้างกิ่งก้านสาขา
• กรอกกลับช้า
|
3. อินเตอร์แอคทิฟคิ (Interactive Video disc
|
• เหมือนกับคอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI) • แบบจําลองทางทัศนะ/การสาธิต • คุณภาพในการแก้ปัญหาสูง • มีจํานวนมาก
|
• ราคาสูง • ค่าบํารุงรักษาสูง
|
4.ดิจิทัล วีดิโอ เทคโนโลยี [Digitai Video Technology (DVT)]
|
• การฝึกอบรม
(สื่อผสม) (multimedia) • บันทึกเล่นป้อนกลับ/บรรณาธิการให้การ เคลื่อนไหวที่เป็นจริงเป็นจินตนาการของนักคอมพิวเตอร์ •ผู้พัฒนาการเรียนการสอนควบคุม ส่วนประกอบของสื่อผสมที่เป็นของรายวิชาให้
ทันสมัย เก็บสะสมไว้ในคอมพิวเตอร์ • ยอมให้ผู้เรียนพัฒนาการฝึกหัด เกี่ยวกับอินเตอร์แอคทิฟวีดิโอ (interactive
video) • ไม่จํากัดสาขา • เสียงในฟิล์มจํากัดโดยไฟล์ที่สะสมไว้ • วีดิโอ (V.D.0) ที่แสดงการเคลื่อนไหว ยังคงเป็นตําราในการจินตนาการ • โสตกราฟฟิคที่สะสมไว้ในดิจิตอล (digital)
|
• ข้อถกถึยงเกี่ยวกับการออกแบบมีความซับซ้อน
•
ต้องการบุคลากรที่พัฒนาทักษะในหลายสาขา
|
5. ดีวีที (DVT) เป็นเครื่องหมายการค้า วีดิโอ คิซ
(video disc)
|
• ใช้ไฟล์จาก Hard disk หรือ CD-ROM • CD-ROM มีค่าใช้จ่ายในการผลิตถูก
|
ตาราลที่ 17 ประเภทและคุณสมบัติของสื่อการเรียนการสอน
วัสดุอุปกรณ์
|
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
1.สิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่นหนังสือตำราเรียนคู่มือ ฯลฯ
|
•เป็นวิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง •สามารถอ่านได้ตามอัตราความสามารถของแต่ละบุคคล • เหมาะสําหรับอ้างอิงหรือทบทวน •เหมาะสําหรับการผลิตเป็นจํานวนมากสะดวกในการข้อมูลที่ล้าสมัย
แก้ไขปรับปรุงเนื้อหาใหม่
|
•ถ้าจะให้ได้สิ่งพิมพ์คุณภาพดีจําเป็นต้องใช้ต้นทุนในการผลิตสูง •บางครั้งต้องพิมพ์ใหม่เพื่อ ข้อมูลที่ล้าสมัย • ผู้ไม่รู้หนังสือไม่สามารถอ่านเข้าใจได้
|
2.ของจริง ของตัวอย่าง
|
•แสดงสภาพได้ตามความเป็นจริง • เป็นลักษณะ 3มิติ •สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า •สามารถจับต้องและพิจารณารายละเอียดได้ •ปกติเหมาะสําหรับการเสนอต่อกลุ่มย่อย •อาจเสียหายได้ง่าย •เก็บรักษาลําบาก
|
•บางครั้งอาจจะลําบากในการจัดหา •ของบางสิ่งอาจมีขนาดใหญ่เกินกว่านํามาแสดงได้ •บางครั้งของนั้นอาจมีราคาสูงเกินไป
|
3. ของจําลองหุ่นจําลอง ขนาคเท่าหรือขยายของจริงมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เช่น ลักษณะ ของอวัยวะภายในร่างกาย
|
•อยู่ในลักษณะ 3มิติ •สามารถจับต้องและพิจารณารายละเอียดได้ •ชํารุดเสียหายได้ง่าย • สามารถแสดงหน้าที่และลักษณะ • ช่วยในการเรียนรู้และการปฏิบัติทักษะชนิดต่างๆ • หุ่นบางอย่างสามารถผลิตได้ด้วยวัสดุหรือวัสดุท้องถิ่นที่หาได้ง่าย
|
•ต้องอาศัยความชํานาญในการผลิต •ส่วนมากราคาจะแพง •ปกติเหมาะสําหรับการเสดงต่อกลุ่มย่อย •ถ้าทําได้ไม่เหมือนของจริงทุกประการ
บางครั้งอาจทําให้เกิดความเข้าใจผิดได้
|
4. วัสดุกราฟิก เช่น แผนภูมิ แผนภาพโปสเตอร์ ภาพเขียน การ์ตูน
|
•ช่วยแสดงลําดับขั้นตอนของเนื้อหา •สามารถจัดหาได้ง่ายจากสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ •ผลิตได้ง่ายและสามารถผลิตได้จํานวนมาก •เก็บรักษาได้ง่ายด้วยวิธีผลึกภาพ
|
•เหมาะสําหรับการเรียนในกลุ่มเล็ก
แผนภูมิ แผนภาพ •งานกราฟิกที่มีคุณภาพดีจําเป็นต้องใช้ช่าง
เทคนิคที่มีความชำนาญในการผลิต •การใช้ภาพบางประเภท เช่น ภาพ •การใช้ภาพบางประเภท เช่น ภาพตัดส่วน (sectional drawings) หรือการ์ตูนอาจไม่ช่วย ให้กลุ่มเป้าหมาย เกิดความเข้าใจดีขึ้น เพราะ
ไม่สามารถสัมพันธ์กลับของจริงได้
|
วัสดุอุปกรณ์
|
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
5. กระดานดํา กระดานขาว
|
•ต้นทุนในการผลิตต่ำ •สามารถเขียนรายงานกราฟิกได้หลายชนิด •ช่วยในการสร้างความเข้าใจตามลําดับ เรื่องราวเนื้อหา
|
•ผู้สอนต้องหันหลังให้กลุ่มผู้เรียนเขียน
กระดานทําให้ไม่สามารควบคุมชั้นเรียนได้ •สามารถอ่านข้อความบนกระดาน ไกลมากนัก ทําให้กลุ่มผู้เรียนมีจํานวนจำกัด •ภาพ หัวข้อ หรือประเด็นคําบรรยาย ถูกลบ ไม่สามารถนํามาใช้ได้อีก •ผู้สอนต้องมีความสามารถในการเขียนกระดานพอสมควร
|
6. กระดานผ้าสําลีและ กระดานแม่เหล็ก
|
•
สามารถนํามาใช้ได้อีก •วัสดุในการผลิตหาง่ายและสามารถผลิตได้เอง • เหมาะสําหรับแสดงความเกี่ยวพันของลําดับเนื้อหาเป็น ขั้นตอน • ช่วยดึงดูดความสนใจ • สามารถให้กลุ่มผู้เรียนร่วมใช้เพื่อสร้างความสนใจและทดสอบความเข้าใจ
|
•
ไม่เหมาะสําหรับผู้เรียนกลุ่มใหญ่
|
7.การศึกษานอกสถานที่
|
•ผู้เรียนสามารถสังเกตการณ์และมีส่วนร่วมได้ด้วยตนเอง
•เปิดโอกาสให้ผู้เรียนร่วมทํางานเป็นกลุ่มและสร้างสรรค์ ความรับผิดชอบร่วมกัน
•สามารถจูงใจเป็นรายบุคลได้ดี
|
•เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง •จัดเฉพาะผู้เรียนกลุ่มย่อย •ต้องเตรียมการและวางแผนโดยละเอียดรอบคอบ
|
สื่อการสอนประเภทใช้เครื่องฉาย 1.ประเภทเสนอภาพนิ่ง
|
||
1.1 เครื่องฉายภาพทึบแสง
|
•
สามารถขยายภาพถ่าย ภาพเขียน วัสดุทึบแสง ให้เป็น ภาพที่มองดูมีขนาดใหญ่ได้ • เหมาะสําหรับผู้เรียนกลุ่มใหญ่ • ช่วยลดภาระในการผลิตสไลค์และแผ่นโปรงใส
|
•
ต้องใช้เครื่องในห้องที่มีดสนิทจึงจะ ภาพที่ภาพขยายได้ชัดเจน • เครื่องมือขนาดใหญ่ทําให้ขนย้ายลําบาก
|
1.2 แผ่นโปร่งใส
|
•
สามารถใช้ได้ในที่ที่มีแสงสว่าง • เหมาะสําหรับผู้เรียนกลุ่มใหญ่ • ผู้สอนหันหน้าเข้าหาผู้เรียนได้ • ผู้สอนสามรถเตรียมแผ่นโปร่งใสไว้ใช้ล่วงหน้าหรือ
สามารถเขียนลงไปพร้อมทําการบรรยายเพื่อเสริมสร้าง ความเข้าใจ
|
•
ถ้าจะผลิตแผ่นโปร่งใสที่มีลักษณะที่มีลักษณะพิเศษต้องลงทุนสูง • ผู้เรียนไม่มีบทบาทร่วมในการใช้อุปกณ์
|
วัสดุอุปกรณ์
|
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
13.สไลค์
|
•
เหมาะสําหรับผู้เรียนกลุ่มใหญ่และกลุ่มเล็ก • ผลิตค่อนข้างง่ายและทําสําเนาได้ง่าย • สามารถเปลี่ยนสลับรูปในการสอนได้ตามต้องการ • สามารถปรับเปลี่ยนรูปที่ไม่ทันสมัยหรือเพิ่มรูปตาม ทําบท
ความต้องการของเนื้อเรื่อง • ใช้สะดวก เก็บรักษาง่าย • ใช้ประกอบกับเครื่องบันทึกเสียงในการผสม สัญญาณเสียงและภาพ • สามารถใช้ได้กับเครื่องฉายที่ใช้ไฟฟ้าหรือแบตเตอรี่
|
•ต้องฉายในห้องที่มีคพอสมควรยกเว้นจะมี
จอ Daylight
Screen • การถ่ายทําชุดสไลค์ที่ดีต้องมีการวางแผนทำบท สคริปการถ่ายทําและการจัดภาพเป็นชุด
|
1.4ฟิล์มสคริป
|
•
เหมาะสําหรับการเรียนเป็นกลุ่มเล็กหรือรายบุคคล ใช้ ภาพกับเรื่องอื่นๆได้ • ผลิตเองได้ง่าย • สะดวกในการใช้และเก็บรักษา
|
•
ไม่สามารถตัดต่อสลับ • ริมหนามเตยชำรุดได้ง่าย
|
1.5 ไมโครฟิล์มไมโครฟิช
|
•
สะดวกในการเก็บรักษา • สามารถเก็บจําแนกประเภท ได้ง่าย • เหมาะสําหรับการเก็บรักษาข้อมูลสิ่งพิมพ์เพราะมีขนาดเล็ก • ขนาดเล็กหยิบใช้ได้สะควก
|
•
ไม่สามรถอ่านข้อความได้ด้วยตา ต้องใช้เครื่องอ่านที่มีคุณภาพดี • เครื่องอ่านใช้อ่านคนเดียว มีราคาไม่สูง
มากนัก
•
เครื่องอ่านสําหรับฉายให้กลุ่มใหญ่จะราคาแพง
|
2.ประเภทเสนอภาพเคลื่อนไหว
|
||
2.1.ภาพยนตร์(8 และ 16มม.)
|
•
ให้ภาพที่ดูแล้วเสมือนมีการเคลื่อนไหวของสิ่งของและ ให้เสียงประกอบซึ่งทั้งภาพและเสียงมีลักษณะใกล้เคียง
การผลิตยุ่งยาก ความจริงมาก • เหมาะสําหรับการสอนกลุ่มใหญ่และกลุ่มย่อย • ภาพยนตร์ 3มม. เหมาะสําหรับการเรียนรายบุคคล • เหมาะสําหรับให้ความรู้ แต่ผู้สอนจะต้องอธิบายบางสิ่ง
ในภาพยนตร์ก่อนทําการฉายและเมื่อฉายจบแล้วควรมีการ
ซักถามปัญหาหรืออภิปรายร่วมกันเพื่อสรุป
|
•
ต้นทุนในการผลิตสูงมากและกรรมวิธีในการผบลิตยุ่งยาก • หากผลิตฟิล์มจํานานน้อยม้วนจะทําให้ ต้นทุนในการผลิตสูงกว่าเดิมมาก • ต้องใช้ไฟฟ้ามากในการฉาย • ลําบากในการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ • ต้องฉายในที่มืด • หากใช้ภาพยนตร์ต่างประเทศอาจจะไม่ตรงต่อความต้องการของผู้ใช้จริงๆ
หรือผู้ชม อาจไม่เข้าใจเนื้อเรื่องได้เท่าที่ควร
|
วัสดุอุปกรณ์
|
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
2.2 โทรทัศน์
|
•
สามารถใช้ได้กับผู้เรียนหรือผู้ชม ไม่จํากัดจํานวนและ
สามารถถ่ายทอดไปได้ในระยะไกลๆ • ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้เรียน • เหมาะสําหรับใช้ในการจูงใจสร้างทัศนคติและเสนอปัญหาให้ผู้เรียนคิดหรือเสริมสร้างการอภิปรายร่วมกัน • ช่วยลดภาวะของผู้สอน คือแทนที่จะต้องบรรยายหลาย ครั้ง
หรือหลายแห่งในหัวของเดียวกันต่อผู้เรียนหลายกลุ่มก็ ใช้การถ่ายทอดไปยังที่ต่างๆ
ได้ในเวลาเดียวกัน
|
• การจัดรายการที่ดีต้องใช้ต้นทุนสูงมาก
ต้องใช้ช่างเทคนิคในการผลิตรายการ • ต้องใช้ไฟฟ้า • เป็นการสื่อสารทางเดียวทําให้ผู้เรียนสามารถถามข้อสงสัยได้ทันทีและผู้สอน
สามารถทราบการตอบสนองของผู้เรียนได้ • รายการที่เสนออาจไม่ตรงกันตารางสอนหรือบทเรียน
|
2.3โทรทัศน์วงจรปิด
|
•
สามารถใช้กับผู้เรียนกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ • ใช้ถ่ายทอดเหตุการณ์หรือการสอนที่ผู้เรียน/ผู้ชมไม่ เท่านั้น
สามารถรวมกันอยู่ในบริเวณที่เรียนที่ชมพร้อมกันได้ • สามารถใช้ร่วมกับวีดิทัศน์ในการส่งภาพได้
|
•รับภาพได้เฉพาะในบริเวณที่กําหนดไว้เท่านั้น
|
2.4 วีดิทัศน์
|
•
สามารถใช้กับผู้เรียนกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ • สามารถฉายซ้ำเมื่อผู้เรียนไม่เข้าใจหรือผู้ทบทวน • แสดงการเคลื่อนไหวของภาพประกอบเสียงที่ให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงของจริงมากมีขนาดเล็กอ่อนมาก
|
•
ต้นทุนอุปกรณ์และการผลิตสูง ต้องใช้ช่วย เทคนิคในการผลิต/จัดรายการ • ตัวอักษรที่ปรากฏจอโทรทัศน์ • ม้วนเทปเสื่อมสภาพได้ง่าย
|
สื่อการสอนประเภทเครื่องเสียง
|
||
1. วิทยุหรือรายบุคล
|
•
สามารถใช้กับผู้เรียนกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ • ระยะกระจายเสียงกว้างและกระถ่ายทอดได้ใน ระยะไกลๆ •ลดภาระของผู้สอนหรือผู้บรรยายในการเดินทางไปสอน ในที่ต่างๆ • ดึงดูดความสนใจได้ดี • เครื่องรับวิทยุราคาถูกและสามารถใช้กับแบตเตอรี่ • สามารถใช้กับสื่ออื่นเช่น สิ่งพิมพ์เพื่อประกอบการเรียน
|
•
ต้องใช้ห้องที่ทําขึ้นเฉพาะเพื่อการกระจายเสียง •
ผู้ฟังหรือผู้เรียนต้องปรับตัวเข้าหารายการเนื่องจากผู้บรรยายไม่สามารถปรับตัวเข้าหาผู้ฟังได้
•
เป็นการสื่อสารทางเดียวที่ทําให้บรรยาย ไม่สามารถทราบปฏิกิริยาสนองกลับของผู้ส่ง
|
2. เทปบันทึกเสียง
|
• สามารถใช้ได้โดยไม่จํากัดขนาดและจํานวนผู้เรียน • เหมาะสําหรับการเรียนรู้ด้วยตนเองหรือกับกลุ่มย่อย • การเปิด/ปิด/เดินหน้าปย้อนกลับสามารถทําได้โดยสะดวก • อุปกรณ์ราคาถูกและสามารถใช้กับแบตเตอรี่ได้ • ใช้ได้หลายกรณีเช่นใช้ประกอบสไลค์ใช้บันทึก • เสียงที่ไม่สามารถฟังได้ทั่วถึงเช่นการเต้นของหัวใจ
|
•
การบันทึกเสียงที่คุณภาพดีจําเป็น • ต้องมีความชํานาญพอสมควรในก
อุปกรณ์ราคาถูกและสามารถใช้กับแบตเตอรี่ได้ ต่อเทป • ต้องระมัดระวังในการเก็บรักษา
|
วัสดุอุปกรณ์
|
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
3.แผ่นซีดี
|
•
บันทึกเสียงในประเภทต่างๆ ในระบบ ดิจิทัลที่ให้ความชัดมาก • ไม่มีการพรั้งเผลอลบเสียงที่บันทึกไว้แล้วและไม่พรั่น ต่อสนามแม่เหล็ก • เรียกกันข้อมูลเสียงได้รวดเร็ว • มีอายุใช้งานนานและยากแก่การบุบ • ขนาดเล็กกะทัดรัดเหมาะแก่การพกพา
|
•
ไม่สามารถบันทึกทันได้ • โดยทั่วไปแล้วผู้ใช้ไม่สามารถบันทึกเสียง
เองได้ต้องมีการบันทึกเสียงมาจากโรงงาน
ผู้ผลิต • ต้นทุนการผลิตสูงกว่าการบันทึกลงเทป แต่ถ้าผลิตเป็นจํานานมากจะลดต้นทุน
ได้มาก • เครื่องเล่นมีราคาสูงกว่าเครื่องเล่นเทปเสียง
|
สื่อเชิงโต้ตอบ
(Interactive
Media)
4.1 ด้านวัสดุอุปกรณ์
|
||
4.1.1 คอมพิวเตอร์
|
•
ใช้งานได้หลายประเภท เช่น การคํานวณจัดเก็บ ฐานข้อมูล การจัดหน้า สิ่งพิมพ์ ฯลฯ • ใช้แก้ปัญหาต่างๆ ที่ซับซ้อนได้ • เสนอข้อมูลได้หลายประเภททั้งตัวอักษรภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวและเสียง • มีการโต้ตอบกับผู้เรียนเพื่อให้ผลป้อนกลับด้วยความ รวดเร็ว • สามารถบันทึกข้อมูลเก็บไว้ในหน่วยความจําของเครื่อง
หรือในวัสดุบันทึกอื่น เช่น จานบันทึกและเทปแม่เหล็กได้ • ใช้ร่วมกับโมเด็มเพื่อใช้ในอินเตอร์เน็ตเพื่อการสื่อสาร
ข้อมูลกับฐานข้อมูลอื่นๆ ได้ทั่วโลก • เครื่องกระเป๋าหิ้วขนาดเล็กเหมาะแก่การพกพาไปใช้ใน
ที่ต่างๆ ได้
|
•
มีราคาสูงพอสมควร • ต้องมีการบํารุงรักษาตามระยะเวลา • ต้องใช้กับโปรแกรมซอฟต์แวร์ประเภท ต่างๆ จึงจะใช้งานได้ • มีการเปลี่ยนแปลงด้านอุปกรณ์เช่น ความเร็วในการทํางานของการ์ดประเภท
ต่างๆจนทําให้เครื่องที่มีอยู่ล้าสมัยได้เร็ว
|
4.1.2 บทเรียนการสอนใช้
คอมพิวเตอร์ช่วย (CAI)
|
•
ผู้เรียนสามารถมีการโต้ตอบกับบทเรียนได้ • สามารถป้อนกลับแก่ผู้เรียนได้ในทันที • มีรูปแบบบทเรียนให้เลือกใช้มากมาย เช่นการสอน| ทบทวน เกม การจําลองฯลฯ • เสนอบทเรียนได้ทั้งลักษณะตัวอักษรภาพและเสียง • ผู้เรียนสามารถทบทวนเนื้อหาบทเรียนและทํากิจกรรม
ได้ตามความสามารถของคนในลักษณะการศึกษารายบุคคล
|
• ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการเรียน โปรแกรมบทเรียน • โปรแกรมซอฟต์แวร์ บางประเภทมีราคา สูงพอสมควร
|
วัสดุอุปกรณ์
|
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
4.1.3 ซีดี-รอม
|
•
สามารถบันทึกข้อมูลได้มากถึง 680เมกะไบต์ • บันทึกข้อมูลได้ทั้งตัวอักษรภาพนึ่งภาพกราฟิก เคลื่อนไหวภาพวีดิทัศน์
และ เสียง • เรียกค้นข้อมูลได้รวดเร็วและถูกต้อง • มีอายุใช้งานนานและยากแก่การบุบสลาย • ขนาดเล็กกะทัดรัดเหมาะแก่การพกพา
|
•
ไม่สามารถบันทึกทับข้อมูลเดิมได้ • ปกติแล้ว ผู้ใช้ไม่สามารถบัน ได้ ต้องมีการบันทึกมาจากโรงงานผู้ผลิต • ต้นทุนการผลิตสูง แต่ถ้าผลิตเป็นจำนวนมากจะลดต้นทุนได้มาก
•
ต้องใช้เล่นร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์
|
4.1.4 แผ่นวีดิทัศน์ (Videodisc/ Laserdisc)
|
•
บันทึกข้อมูลได้ทั้งตัวอักษรภาพนึ่งภาพกราฟิก เคลื่อนไหว • แบ่งเป็นสองชนิด บันทึกข้อมูลได้ทั้งแบบหน้าละ 30 นาที และ 1ชั่วโมง • คูภาพนิ่งได้ที่ละภาพด้วยความคมชัดหรือจะดูภาพช้า
หรือภาพเร็วก็ได้เช่นกัน • เล่นเดินหน้าหรือย้อนกลับได้ด้วยความรวดเร็ว • ค้นหาเนื้อเรื่องเป็นตอนหรือตามเวลาของการเล่นได้
|
•
มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 นิ้วจึงมีขนาดใหญ่ไม่เหมาะสมในการพกพา • ผู้ใช้ม่สามารถบันทึกข้อมูลได้เอง ต้องบันทึกจากโรงงานเท่านั้น
|
4.2 ด้านเทคนิควิธีการ
|
||
4.2.1 สื่อหลายมิติ (Hypermedia)
|
•
เสนอข้อมูลในลักษณะไม่เป็นเส้นตรงทําให้สามารถ เชื่อมโยงข้อมูลในที่ต่างๆ
ได้อย่างรวดเร็ว
|
•
ต้องใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์ที่มีคุณภา ในการผลิตบทเรียน • ต้องอาศัยเชี่ยวชาญในการสร้างบทเรียน • ต้องใช้รวมกับคอมพิวเตอร์ที่คุณภา พอควรจึงจะใช้ได้ดี
|
•
เนื้อหาบทเรียนที่มีทั้งภาพนิ่งภาพกราฟิกเคลื่อนไหว
ภาพวีดิทัศน์เสียงพูดเสียงดนตรี • ผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับบทเรียนและได้รับผล ป้อนกลับทันที • สะดวกในการใช้
|
•
การผลิตบทเรียนลักษณะนี้ต้องอาศัย อุปกรณ์ร่วมหลายอย่างเช่นเครื่องเสียง
วีดิทัศน์ เครื่องเล่น แผ่นวีดิทัศน์ ฯลฯ
|
|
4.2.2 แผ่นวีดิทัศน์เชิง
(Interactive Video, Interactive Videodisc)
|
•
ใช้ได้กับผู้เรียนกลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อยและการศึกษารายบุคคล •เสนอข้อมูลในลักษณะไม่เป็นเส้นตรง(Non-linear) • การเสนอเนื้อหามีทั้งภาพนึ่งภาพ วีดิทัศน์และเสียง • ผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับบทเรียนและได้รับผล ป้อนกลับทันที •บันทึกผลการเรียนและการตอบสนองของผู้เรียนได้\
|
•
ต้องใช้อุปกรณ์ร่วมในการทํางานหลัก อย่าง •ต้องเลือกเนื้อหาในแผ่นวีดิทัศน์มา
ประกอบบทเรียนให้เหมาะสม ซึ่งบางที่ อาจหาได้ไม่ตรงนัก • อุปกรณ์ต่างๆ มีราคาสูง จึงทําให้กา แบบนี้ไม่เป็นที่นิยมใช้กันมากนัก
|
วัสดุอุปกรณ์
|
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
42.3 อินเทอร์เน็ต
|
•
ค้นคว้าข้อมูลได้ทุกมุมโลกอย่างรวดเร็ว • ติดตามข่าวสารความรู้และความเคลื่อนไหวต่างๆ ได้ ผู้ใดรับรอง
อย่างรวดเร็ว • สนทนากับผู้ที่ห่างไกลได้ทั้งลักษณะข้อความและเสียง •ร่วมกลุ่มอภิปรายกับผู้ที่สนใจในเรื่องเดียวกันเพื่อขยาย
วิสัยทัศน์
•
รับส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบข้อความภาพ
และเสียงได้อย่างรวดเร็วในราคาย่อมเยา • ถ่ายโอนแฟ้มข้อมูลในที่ต่างๆ ได้ • ติดประกาศข้อความเพื่อหาผู้ที่สนใจในเรื่องเดียวกัน
|
•
ข้อมูลที่ได้ยายไม่ถูกต้องเนื่องจากไม่ ผู้ใดรับรอง • ต้องมีการศึกษาการใช้งานเพื่อการสืบค้นข้อมูล • นักเรียนและเยาวชนยามเข้าไปดูใน ฃ เว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม
|
42.4 ไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์
|
•
ช่วยจัดปัญหาในเรื่องของเวลาและระยะทางในการเรียน • ผู้เรียนที่ไม่กล้าแสดงออกในชั้นเรียนจะได้รู้สึกอิสระใน
แสดงความรู้สึกต่อกันได้ทําให้ขาดความเป็น การแสดงความคิดเห็น • เสริมบรรยากาศในการเรียนรู้เพื่อเปิดโอกาสให้การถาม
ข้อข้องใจเป็นการส่วนตัว • ผู้เรียนสามารถติดต่อกัน ในการแบ่งปันข้อมูลและ ปรึกษาร่วมกันได้
การพิมพ์และเรียบเรียงเนื้อหา จึงจะทํา ให้การอภิปรายราบรื่น
|
•
เป็นการสื่อสารที่ผู้สื่อสารไม่สามารถแสดงความรู้สึกต่อกันได้ทําให้ขาดความธรรมชาติ • อาจเกิดความสับสนในการอภิปราย
เนื่องจากอภิปรายในเวลาที่ไม่ต่อเนื่องกัน
|
4.2.5 การสอนในเว็บเป็น ฐานการสอนบทเว็บ
|
•
ขยายโอกาสทางการศึกษาแก่ผู้เรียน รอบโลกทําให้ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทาง • การเรียนด้วยการสื่อสารหลายรูปแบบทําให้ผู้เรียนรู้จัก ในการเรียน การสื่อสารทางสังคม ทําให้การเรียนมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น • การเรียนด้วยสื่อหลายมิติ ทําให้เลือกเรียนเนื้อหาได้
ตามสะดวกโดยไม่ต้องเรียงลําดับกัน • มีหลักสูตรให้เลือกเรียนมาก •
มีการเรียนทั้งแบบประสานเวลาและแบบไม่ประสานเวลาของตนเองจึงจะประสบความสําเร็จในการเรียน
|
• ผู้สอนและผู้เรียนอาจไม่พบหน้ากัน
อาจทําให้ผู้เรียนบางคนอึดอัดและไม่สะดวก ในการเรียน • ผู้สอนต้องใช้เวลาเตรียมการสอนมาก • การตอบปัญหาในบางครั้ง อาจไม่เกิดขึ้น ในทันทีทําให้ผู้เรียนไม่เข้าใจอย่างท่องแท้ได้
• ผู้เรียนต้องรู้จักควบคุมการเรียนของตนเอง จึงจะประสบความสําเร็จในการเรียนได้
|
การตัดสินใจเกี่ยวกับสื่อ
สื่อเป็นวิธีการซึ่งมีการนําเสนอสารสนเทศและแลกเปลี่ยนประสบการณ์
ในขณะที่สื่อเป็นคําที่ใช้ อ้างถึงแบบของการเรียนการสอน (mode of delivery) จึงเป็นความจําเป็นที่ต้องมีวัสดุอุปกรณ์ที่จะส่งผ่าน
แบบการเรียนการสอนนั้น ในทางตรรกะแล้วเป็นความจําเป็นทั้งส่วนที่เป็นอุปกรณ์ (hardware ) และส่วนที่
เป็นวัสดุ
(software)
สําหรับการเรียนรู้ที่อาศัยคอมพิวเตอร์เป็นฐานเช่นเดียวกันกับสื่อโทรทัศน์ที่ต้องอาศัยโปรแกรมเป็นฐาน
การตัดสินใจเกี่ยวกับสื่อสามารถทําได้ก่อน ทําตามหลัง
หรือทําไปพร้อมๆกับการตกลง วิธีการ โดยทั่วๆ ไปแล้ว
จะทําตามหลังหรือทําไปพร้อมๆกัน การบรรยายอาจจะต้องการองค์ประกอ
หรืออาจจะอยู่ในรูปแบบของโปรแกรมโทรทัศน์ ในสมัยก่อนวัสดุอุปกรณ์ส่วนใหญ่จะเป็นสื่อ
สิ่งพิมพ์
ในตอนนี้จะได้กล่าวถึงการแบ่งวิธีการสื่อ ออกเป็นสามประเภท คือ วิธีการ (methods) สื่อ(traditional media) และเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า
(newer technology) ในด้านวิธีการดําเนินหลักสูตร โดยท่าน
ซึ่งอาจจะรวมๆ กัน แต่จะใช้สื่อรวมๆ กัน ส่วนสื่อเดิมๆ จะรวมถึงงานพิมพ์ (print) และสื่อโสตร์ (audiovisual media)
และสําหรับเทคโนโลยีใหม่ หรือสื่อดิจิทัล คือ การสื่อสารโทรคมนาคมและไมโล
โพรเซสเซอร์ (microprocessor) สื่อ (media) สามารถจัดกลุ่มเป็นวัสดุสิ่งพิมพ์ (print materials) ทัศนวัสดุไป ฉาย (nonprojected visuals)
ทัศนวัสดุฉาย (projected visuals) สื่อประเภทเสียง (audio
media) ระบบสื่อผสม (multimedia Systems)
ภาพยนตร์ (films) และโทรทัศน์ (television) สื่อแต่ละประเภทเหล่านี้สามารถแตกออก ให้เลือกได้ในหลายรูปแบบ
ดังแสดงในตารางที่ 18 และตารางที่ 19
การตัดสินใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่สื่อดิจิทัล
เทคโนโลยีใหม่/สื่อดิจิทัล ประกอบด้วย
การเรียนการสอนที่อาศัยคอมพิวเตอร์เป็นพื้นฐาน (computer-based
instruction) และการเรียนรู้ทางไกล
ที่อาศัยเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นพื้นฐาน (telecommunications-based distance learning technologies)
การเรียนรู้ทางไกลเกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนอยู่ในสภานที่หนึ่ง
เทคโนโลยีใหม่มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ดังแสดงที่ตาราง 18 นิยามศัพท์เฉพาะสือและ เทคโนโลยี
การพิจารณาเลือกสื่อ
สากการทั่วไปจํานวนมาก และข้อพิจารณาอื่นๆ
ในการเลือกสื่อที่เหมาะสมสําหรับการเรียนกาย สอน คือ
กฏในการเลือกสื่อและปัจจัยอื่นๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเลือกสื่อ
ตารางที่ 18 ทางเลือกสําหรับสื่อดั้งเดิม
ทัศนวัสดุฉาย:
ไม่เคลื่อนไหว (Projected
Visuals : Stacle)
|
ทัศนวัสดุไม่ฉาย
(Non Projected
Visuals)
|
|
Opaque
Projection
|
Pictures
|
|
Overhead
Projection
|
Photographs
|
|
Slides
|
charts graphs
diagrams
|
|
Filmstrips
|
diagrams
displays-exhibits, feltboards, bulletin boards
|
|
สื่อ (Media) (Multimedia
Presentation)
|
การนําเสนอด้านสื่อผสม
|
|
Records
|
sound slide
|
|
tape-reel ,cassette cartridge
|
multi-image
|
|
audio cards
|
film- cassette ,multimedia kit
|
|
สิ่งพิมพ์
(Print) (Projected Visuals : Stacie)
|
ทัศนะวัสดุฉาย
: ไม่เคลื่อนไหว
|
|
Text book
|
Film
|
Television
|
Programmed
text
|
8 mm
|
8mm
|
Super 8
mm 1 / 2 inch
|
||
16
mm 3/4 inch
|
||
35
mm 1
inch
|
||
เกมส์
(Games)
|
ของจริง
(Realia)
|
|
board
games
|
Models
|
|
simulation
games
|
Manipulative
|
|
Puzzles
|
Specimens
|
ที่มา
:
Barbara Seels
and Zita Glasgow , Exercises in Instructional Design (Columbus,
Ohio : Merrill Publishingcompany,1990),p.182.
กฎในการเลือกสื่อ
การเลือกสื่อมีกฏอยู่ 6 ข้อ
หรือเรียกว่าหลักการทั่วไปในการพิจารณาก่อนที่จะตัดสินใจอย่างไม่เป็น
ทางการในการเลือกสื่อ
กฎที่ 1 การเรียนการสอนโดยทั่วไปแล้วต้องการสื่อสองทาง
(two way medium) นักเรียนจะ เรียนได้ดีที่สุดเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุ/สื่อการเรียนการสอน
ครู สมุดทํางาน หรือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์
ช่วยสอน
กฎที่ 2 ชื่อทางเคียว (one-way media) ควรจะได้รับการสนับสนุน
โดยสื่อที่ให้ข้อมูลป้อนก กาพยนตร์ หรือวีดิทัศน์ จะให้ประสิทธิผลมากกว่า
เมื่อมีคู่มือการใช้ควบคู่ไปด้วย หรือมีแบบฝึกตัวอย่างคือ ปฏิบัติควบคู่ไปด้วย
หรือมีครู ซึ่งสามารถที่จะถามและตอบคำถามได้
กฎที่ 3 การเรียนรู้ของแต่ละบุคคล
ต้องการสื่อที่มีความยืดหยุ่น ตัวอย่างคือ ผู้ที่เรียนเช้าอาจจะ
ต้องการสื่อการเรียนที่แตกแขนงออกไปเป็นพิเศษ เช่นการฝึกเสริม (remedial
exercises) ตัวอย่างเสริมเป็น พิเศษ สื่อภาพยนตร์
ควรจะส่งเสริมโดยการเยียวยาแก้ไขหรือมีกิจกรรมที่เหมาะสมกับความต้องการของแต่ง
ละบุคคล
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถที่จะสนองตอบได้อย่างดีเลิศในความยืดหยุ่นที่มีต่อปัจจัย
บุคคล
กฎที่ 4 การนําเสนอโลกแห่งความเป็นจริง
ต้องการสื่อทางทัศนวัสดุ ตัวอย่างนักเรียนพยาบาล เรียนรู้วิธีการตัดไหม
จําเป็นต้องเห็นการสาธิต (ภาพยนตร์ วีดิทัศน์ การสาธิตของจริง) มากกว่าที่จะเขียน | ออกมาเป็นรายการของวิธีการตัดไหม
กฎที่ 5 พฤติกรรมที่คาดหวังหลังจากการเรียนการสอน
ควรจะให้มีการฝึกปฏิบัติในระหว่างที่มี การเรียนการสอน การได้ยิน
หรือการได้เห็นทักษะที่แสดงออกมาไม่เป็นการเพียงพอ ตัวอย่าง ผู้ปฏิบัติ
จําเป็นต้องทําการตัดไหมตามที่เห็นในวีดิทัศน์
ไม่ว่าจะเป็นการตัดไหมเทียมๆหรือตัดไหมจริงๆ
กฎที่ 6 เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ของบทเรียนอื่นๆ
อาจต้องการการเลือกสื่อที่มีความแตกต่าง กัน ตัวอย่าง
ทฤษฎีที่อยู่บนหลักการของวิธีการทําหมัน อาจจะต้องการวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นสิ่งพิมพ์
ในขณะที่ วิธีการตัดไหม อาจจะต้องการสาธิตที่มีความเป็นจริงมากกว่า (วีดิทัศน์
ภาพยนตร์ ฯลฯ)
ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อการเลือกสื่อ
ได้มีการเรียนรู้กฏซึ่งจําเป็นในการพิจารณา
เมื่อมีการเลือกสื่อการเรียนการสอนเป็นความจําที่มอง หาปัจจัยอื่นๆ
ซึ่งจะส่งผลต่อการเลือกสื่อ
ตารางที่ 19 เทคโนโลยีใหม่
Telecommunication-based
Teleconferencing
Telelectures
Microprocessor-based
Computer-assisted instruction
Computer Games
Exper
Tutoring Systems
Hypermedia
Interactive
Video
Computer-managed Instruction
Compact Disc
ตารางที่ 20 ข้อควรพิจารณาในการเลือกสื่อ
ปัจจัย
|
ตัวอย่าง
|
1. สิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้
|
บ้าน
ที่ทํางานชั้นเรียน ม้านั่ง
|
2. ประสิทธิผลในการลงทุน
|
ราคาต่อห้อง
และราคาในการดําเนินงาน
|
3. แหล่งวัสดุอุปกรณ์ที่มีประโยชน์เพียงพอ การพัฒนาภาพยนตร์ สตูดิโอ
การพิมพ์
|
วัสดุอุปกรณ์ที่มีความเหมาะสม
มีระเบียบเรียบร้อย
|
4. ความสะดวกในการใช้ตําแหน่งที่ตั้ง เวลาที่ สําหรับการเตรียมตัว
|
เช่นใช้มากน้อยเท่าไร
บ่อยเท่าไร ขนาดของกลุ่ม
|
5. สิ่งที่ไม่จําเป็น (Non-essentials)
|
สีมีความจําเป็นหรือไม่
ตําราเพียงพอ หรือ สไลค์ที่จะใช้ในการนําเสนอเพียงพอหรือไม่
|
6. ทรัพยากรมนุษย์หาได้ง่ายหรือไม่
|
ผู้ชํานาญการพิเศษด้านวิธีการผลิตสื่อหาได้ง่ายหรือไม่
|
7.นโยบาย
|
นโยบาย
เจตคติต่อต้านการเปลี่ยนแปลงข้อขัดแย้งต่างๆ
|
แบบจําลองการเลือกสื่อ
แบบจําลองการเลือกสื่อการเรียนการสอนมีหลายแบบ
สําหรับการพิจารณาแต่ละแบบจะมี เลือกสื่อที่ต่างกัน สิ่งที่น่าสังเกตคือ
แต่ละแบบมีความต่างกันอย่างไร และพิจารณาว่ามีอะไรเป็นนัยของอา ต่าง
แต่ละแบบจําลองพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยในการเลือกและการใช้ประโยชน์จากวัสดุ
ให้สังเกตภาพที่ ไม่ได้นํามาเสนอวิธีการเลือกสื่อที่ตายตัว และภาพที่ 8 ซึ่งใช้สําหรับโครงการการพัฒนาการเรียนสอนของ กองทัพอากาศ
แบบจําลองของวิลเลี่ยม ออลเลน
ในแบบจําลองของวิลเลี่ยม ออลเลน (William allen)
ผู้ออกแบบการเรียนการสอนต้องตัดสินใจ
เกี่ยวกับการจําแนกจุดประสงค์และการจําแนกความสามารถสูงสุดของสื่อการเรียนสอนที่จะพลิกแพลงให้เข้า
กับจุดประสงค์ ออลเลน ได้ตรวจสอบประสิทธิผล สื่อสําหรับวัดชนิดของการเรียนรู้
ด้วยเหตุผลนี้ ออลเลน ได้สร้างตารางแจกแจงสองทาง ซึ่งจําแนกสื่อที่ให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง
ปานกลาง และต่ํา ตามชนิดของ การเรียนรู้ เมื่อใช้แบบจําลองนี้
ผู้ออกแบบควรพยายามหลีกเลี่ยงสื่อที่ให้ผลสัมฤทธิ์ต่ํากับชนิดของการเรียนรู้ (aien,
1967 : 27-31)
อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้ออกแบบเลือกสื่อที่ให้ผลสัมฤทธิ์ต่ําหรือปานกลางผู้ใช้ควรรับรู้
ข้อจํากัด
แบบจําลองของเยอร์ลาชและอีลี
แบบจําลองเยอร์ลาชและอีลี (Gerlach and Ely)
ได้เป็นที่รู้จักกันในปี ค.ศ. 1971 ในตําราที่ชื่อว่า
การสอนและสื่อ เยอร์ลาชและอีลีได้นําเสนอเกณฑ์
ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ในการเลือกสื่อการเรียนการสอน หลังจากที่ระบุจุดประสงค์และระบุพฤติกรรมความพร้อมที่จะรับการสอน
(entering behaviors) แล้วเกณฑ์ ดังกล่าวประกอบด้วยประการที่
ความเหมาะสมทางปัญญา
(สือสามารถส่งผ่านตัวกระตุ้นตามเจตนารมณ์ของจุดประสงค์หรือไม่) ประการที่ 2 ระดับของความเข้าใจ (สื่อทําให้ผู้เรียนเข้าใจหรือไม่) ประการที่ 3ราคา ประการที่ 4 ประโยชน์
(เครื่องมืออุปกรณ์และวัสดุมีประโยชน์หรือไม่) และประการที่ 5 คุณภาพทางเทคนิค
(คุณลักษณะทางการฟังและการดูของการผลิตมีคุณภาพเพียงพอหรือไม่) (Gerlach
and Ely,1980) ภาพที่ 5 จะ
แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของจุดประสงค์กับทางเลือกในการเลือกสื่อตําราของเยอร์ลาชและอีสได้มีการ
พิมพ์ครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1980 โดยที่ผู้เขียนตั้งใจเขียนขึ้นสําหรับครูทุกระดับ
ดังภาพประกอบที่ 5
ภาพประกอบที่ 5 แบบจําลองการเรียนการสอน
: การเลือกสื่อ
ที่มา:Frederick G. Knirk, and Kent L. Gustafson, Instructional Technology A Systematic Approach
to Education (New York: Holt,
Rinehart and Winston,1986), p.170.
การขยายขอบเขตการเรียนรู้ด้วยการวิจัยการเรียนรู้
ผู้สอนสามารถปรับปรุงความสามารถในด้านวิชาการของผู้เรียนด้วยการวิจัย
การวิจัยการเรียนรู้จะ
ช่วยให้ได้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจว่าเงื่อนไขอะไรที่ทําให้มีการเรียนรู้เพิ่มขึ้นในสถานการณ์ที่คล้ายคลึง
กับที่ตนเผชิญอยู่นักวิทยาศาสตร์พฤติกรรมใช้วิธีการในการศึกษาพฤติกรรมด้วยการสังเกตบุคคลในสถานที่
กรณีที่หลากหลาย ด้วยการตั้งคําถามลึกๆ
เกี่ยวกับประสบการณ์มีการสํารวจประชากรกลุ่มใหญ่เพื่อที่จะ ตัดสินใจว่า
ประชาชนเหล่านั้นชอบหรือไม่ชอบ นักออกแบบสร้างและใช้แบบทดสอบสําหรับความสามารถ
และคุณลักษณะของคนจํานวนมาก แต่สิ่งที่สําคัญที่สุดและเป็นการให้ผลต่อการศึกษาการเรียนรู้
คือ การ ทดลอง ซึ่งนักวิจัยระมัดระวังและควบคุมการศึกษาสาเหตุและผลที่ได้รับ
แบบมโนทัศน์ของการวิจัยเกี่ยวกับการออกแบบการเรียนการสอน
เนื้อหาส่วนใหญ่ของงานวิจัยที่ เกี่ยวกับตัวแปรการออกแบบการเรียนการสอนต้องไม่กว้างเกินไปโดยปราศจากของการจัดการ
ริชชี ได้จัด กลุ่มงานวิจัยเกี่ยวกับตัวแปรการเรียนการสอนเป็นสี่กลุ่มใหญ่ คือ
ผู้เรียน เนื้อหาวิชา สิ่งแวดล้อม และระบบ การสอน
การออกแบบการเรียนการสอนขึ้นอยู่กับธรรมชาติของความชี้เฉพาะในแต่ละกลุ่มอย่างหลากหลาย
ตารางที่ 21 ตัวอย่างของการปฏิบัติเชิงการเปลี่ยนแปลง
การปฏิบัติเชิงความจํา (recognition practice)
คาร์บูเรเตอร์ตัวไหนทํางานถูกต้อง
เมฆที่เห็นเป็นชนิดที่เรียกว่า นิมบัส (nimbus)
หรือคูมูลัส (cumulus)
การแก้ไขการปฏิบัติ
(editing
practice)
คาร์บูเรเตอร์นี้ทํางานไม่ถูกต้อง
ทําให้ถูกต้อง
เมฆที่เห็นไม่ใช่นิมบัส
เป็นเมฆชนิดใด
การปฏิบัติที่ให้ผล
(production
practice)
ในการติดตั้งคาร์บูเรเตอร์
อย่าลืมต้องติดตั้งโช้ค (choke) ก่อน
จงครูปร่างและสีของเมฆ
แล้วบอกว่าเป็นเมมชนิดใด
ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) อีกวิธีการหนึ่งที่จะทําให้การผิดพลาคลคลงคือ
การให้ผู้เรียนได้รับรู้ การตอบสนองนั้นไม่ถูกต้อง
การรู้ว่าถูกหรือผิคจะช่วยให้ผู้เรียนแก้ไขการกระทําให้ถูกต้องระหว่างทดลอง
และเน้นไปที่ส่วนของภาระงานที่ต้องการกลั่นกรอง
การเรียนรู้จากสื่อเคลื่อนที่
เทคโนโลยีแบบเคลื่อนที่ (Mobile technology)
จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบพลวัตรที่สร้างสรรค์
การเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์กันภายใต้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
ในยุคที่ความ เจริญก้าวหน้าของสื่อสารไร้สายนี้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทโน็ตบุคคอมพิวเตอร์โทรศัพท์มือถือ
(รวมถึง TABLETS) กล้องถ่ายภาพดิจิทัล เครื่องเล่น MP3หรือ MP4 และอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์อื่น ๆ
อีก มากมาย ในที่นี้ขอเรียกว่า สื่อเคลื่อนที่ (Mobile devices) สามารถนํามาใช้เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้กาตอบสนอง ได้รวดเร็ว
มีปฏิสัมพันธ์แบบโต้ตอบให้ประสบการณ์ที่ดี เช่น ในการสอนวิชาภาษาต่างประเทศ สามารถ
แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ผ่านสือเคลื่อนที่ดังกล่าวนี้
ทั้งนี้ผู้เรียนยังใช้ประโยชน์ในการส่งอีเมล หรือใช้ประโยชน์เพื่อการนันทนาการได้อีกด้วย
ในบางกรณีผู้เรียนยังมีความคาดหวังที่จะได้เรียนรู้แม้ว่าจะ ไม่ได้เข้าชั้นเรียน
โดยที่ผู้เรียนสามารถติดตามบทเรียนตามที่ต้องการได้สะดวกจากเว็บไซต์
สรุป
การพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจะเปลี่ยนการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมที่ครูเป็นศูนย์กลางมาเป็นการเรียนรู้ที่ใช้เทคโนโลยีเป็นฐาน การเรียนรู้ คือกระบวนการทางสังคม ผู้เรียนจะต้องการเรียนรู้เพื่อให้ได้ความรู้หรือคำตอบ การที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และหาคำตอบจากสื่อสังคมออนไลน์ การเรียนรู้ออนไลน์ การสร้างสภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ใหม่โดยใช้ความสามารถทางอินเตอร์เน็ต เว็บ สื่อสังคมออนไลน์เพื่อรองรับรูปแบบการเรียนการสอนที่เปลี่ยนไป สภาพแวดล้อมที่มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้นสารสนเทศคือ ส่วนสำคัญของการเรียนรู้ สื่อดิจิทัลทำให้เกิดโอกาสในการช่วยให้ผู้เรียนรู้เข้าถึงและมีการปฏิสัมพันธ์กับแหล่งสารสนเทศและกลุ่มผู้เรียนรู้ด้วยกัน ผู้สอนจะต้องเรียนรู้และพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน คือ e-learning and m-learningกล่าวคือ จัดให้/ส่งเสริมการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์และการเรียนรู้แบบเคลื่อนที่ (mobile learning) อำนวยความสะดวกให้ทั้งผู้สอนและผู้เรียนเทคโนโลยีที่โดดเด่นที่กำลังทำให้สิ่งของทุกสรรพสิ่งบนโลกสามารถเชื่อมต่อกันได้ นั้นคือInternet of Everything (IoE) ซึ่งจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมต่างๆ โดยจะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจ ซึ่งมีการคาดว่า IoE จะทำให้เกิดโอกาสมากมาย ด้วยมูลค่าที่สูงหากมีการนำ IoE มาใช้ในการปฏิวัติการศึกษาเพื่อสร้างรูปแบบของการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ จะยิ่งทำให้เกิดการต่อยอดการเรียนรู้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น